Quantcast
Channel: Advertorial Archives - รถใหม่ 2025-2026 รีวิวรถ, ราคารถใหม่, ข่าวรถใหม่, รถยนต์
Viewing all 534 articles
Browse latest View live

ใหม่ All New Mitsubishi Pajero Sport 2015-2016 ราคา มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์

$
0
0

ใหม่ All New Mitsubishi Pajero Sport 2015-2016 ราคา มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์

ปาเจโร่ 2015

1

exterior_img_24Image_01 Image_01[1] Image_02 Image_02[1] 06 07 2015-BIGMOTORSALE_004 2015-BIGMOTORSALE_005 2015-BIGMOTORSALE_006 2015-BIGMOTORSALE_007 2015-BIGMOTORSALE_008 2015-BIGMOTORSALE_009 2015-BIGMOTORSALE_010

Mitsubishi Pajero Sport ที่สุดของความสมบูรณ์แบบ เกิดขึ้นแล้ว…ที่นี่

Mitsubishi Pajero Sport ราคา
ราคา มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต GLS-LTD 2WD 1,138,000.
ราคา มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต GT-LTD 2WD 1,250,000.
ราคา มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต GT-Premium 4WD 1,450,000. (ราคาพิเศษ 1,399,000. – 30 ก.ย. 58)

*ของแถม มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต จัดเต็ม ติดต่อ  เซลล์ คุณเอก  086-3667970 เลียบทางด่วนรามอินทรา

ราคา มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์
Mitsubishi Pajero Sport ราคาผ่อน

ชมคลิป ปาเจโร่ สปอร์ต 2015

อุปกรณ์มาตรฐาน MITSUBISHI ALL NEW PAJERO SPORT

ความยาว x ความกว้าง x ความสูง = (4,785 x 1,815 x 1,805)

PAJERO SPORT 2WD GLS-LTD ราคา 1,138,000.
ภายนอก
– ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ แบบฮาโลเจน
– ไฟตัดหมอกหน้า
– ไฟท้ายแบบ Spectrum LED
– ไฟเบรกดวงที่สาม
– ระบบไฟสว่างอัตโนมัติเมื่อปลดล็อค และระบบไฟนำทางหลังดับเครื่องยนต์

ภายใน
– จอแสดงข้อมูลการขับขี่
– ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
– แผงควบคุมระบบปรับอากาศด้านหลังและแยกอิสระ พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
– พวงมาลัยปรับระดับสูง-ต่ำ และปรับเข้า-ออก
– สวิตช์ควบคุมวิทยุที่พวงมาลัย
– กระจกมองหลังแบบปรับแสงสะท้อน
– กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบปรับขึ้น-ลงอัตโนมัติ (ด้านคนขับ) พร้อมระบบ Safety
– กระจกมองข้างปรับและผับด้วยไฟฟ้า
– เซ็นทรัลล็อค พร้อมระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อรถมีความเร็ว
– ที่ปัดน้ำฝนหน้า-หลัง พร้อมจังหวะหน่วงเวลา
– ไฟอ่านแผนที่คู่หน้า และไฟส่องสว่างสำหรับผู้โดยสารตอนที่ 2 และ 3 พร้อมไฟส่องสว่างข้างประตู
– ช่องจ่ายกระแสไฟ DC 12 โวลต์ หน้าและหลัง
– ช่องเก็บแว่นตาเหนือศีรษะ
– ที่บังแดดหน้า เฉพาะด้านผู้โดยสาร
– มือจับสำหรับขึ้น-ลงรถ 4 ตำแหน่ง
– พรมรองพื้นห้องโดยสาร
– เบาะหน้า-เบาะแถวที่สอง เบาะผ้าสำดำ
– เบาะหน้าปรับระดับสูง-ต่ำได้ แบบแมนนวล เฉพาะด้านคนขับ
– เบาะหน้า เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าปรับสูง-ต่ำได้
– เบาะแถวสองแยกพับแบบ 60:40
– เบาะแถวสองพนักพิงสามารถปรับเอน และพับไปด้านหน้าเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้งาน
– เบาะแถวสองที่พักแขนสำหรับที่นั่งแถวที่สอง พร้อมที่วางแก้ว และจุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX x2
– เบาะแถวที่สามเบาะผ้าสีดำ
– เบาะแถวที่สาม พนังพิงสามารถปรับเอนได้
– ปรับแบนราบกับพื้นห้องโดยสารได้
– กุญแจอัจฉริยะ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์
– เครื่องเสียง 2DIN – วิทยุ, ซีดี, เอ็มพี 3 พร้อมช่องต่อ USB
– ลำโพง 4 ตัว

ความปลอดภัย
– ระบบเบรกมือควบคุมด้วยไฟฟ้า
– ระบบเบรก ABS, ระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA
– ระบบลดกำลังเครื่องยนต์ เพื่อช่วยเบรก (BOS-Brake Override System)
– ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
– เข็มขัดนิรภัย คู่หน้า ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง, แถวที่ 2 ELR 3 จุด 1 ตำแหน่ง และ 2 จุด 1 ตำแหน่ง, แถวที่สาม ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง
– เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ 2 ทิศทาง พร้อมระบบผ่อนแรง เฉพาะด้านคนขับ
– ไฟห้องโดยสารเปิดอัตโนมัติ เมื่อปลดล็อก
– ระบบกุญแจป้องกันการโจรกรรม พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย
– ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล
– ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
– ระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวขณะลากจูง
– สัญญาณกะระยะจอด ด้านหลัง
– ระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ ขณะเบรกกะทันหัน

PAJERO SPORT 2WD GT ราคา 1,250,000.
– ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ แบบ Bi-LED พร้อมระบบปรับระดับลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติ
– ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ Spectrum LED
– ไฟท้ายแบบ Spectrum LED พร้อมไฟเบรกแบบ LED
– ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
– ราวหลังคา
– ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แบบแยกปรับอุณหภูมิ ซ้าย-ขวา (Dual zone)
– ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย และระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวกมาลัย
– ที่บังแดดหน้า แบบมีกระจกแต่งหน้าและฝาปิด พร้อมที่เสียบบัตรด้านคนขับ
– เบาะหน้า เบาะหลังและวัสดุหนังสังเคราะห์ สำดำ
– เบาะคู่หน้าปรับระดับได้ 8 ทิศทาง ด้วยระบบไฟฟ้า
– เบาะแถวสอง เบาะหนังและวัสดุหนังสังเคราะห์ สีดำ
– เบาะแถวสาม เป็นหนังสังเคราะห์ สีดำ
– เบาะแถวสาม ปรับแบนราบกับพื้นห้องโดยสารได้
– เครื่องเสียง 2DIN – วิทยุ, ดีวีดี, ซีดี, เอ็มพี 3, จอภาพระบบสัมผัส ขนาด 7 นิ้ว พร้อมช่องต่อ USB
– ระบบเชื่อมต่อบลูทูธแบบ A2DP และระบบนำทางในรถยนต์
– จอภาพแบบ Wide Screen พร้อมเครื่องเล่นซีดี, รีโมท และหูฟังอินฟราเรด 2 ชุด สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
– ลำโพง 6 ตัว
– ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
– ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
– ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว
– กล้องมองภาพหลังขณะถอยจอด พร้อมเส้นกะระยะ
– ระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ ขณะเบรกกะทันหัน

PAJERO SPORT 4WD GT-Premium ราคา 1,450,000.
– กระจกมองหลังแบบปรับแสงสะท้อน ปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ
– ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, บริเวณหัวเข่าด้านคนขับและม่านถุงลมนิรภัย
– เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ 2 ทิศทาง พร้อมระบบผ่อนแรง ด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า
– ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน
– ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
– ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา
– กล้องมองภาพรอบคัน พร้อมเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ
– สัญญาณกะระยะจอด ด้านหลังและด้านหลัง
– ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว
– กล้องมองภาพหลังขณะถอยจอด พร้อมเส้นกะระยะ

 

ภายนอก ALL NEW  MITSUBISHI PAJERO SPORT

07

2015-BIGMOTORSALE_004 2015-BIGMOTORSALE_005 2015-BIGMOTORSALE_006 2015-BIGMOTORSALE_007 2015-BIGMOTORSALE_008 2015-BIGMOTORSALE_009 2015-BIGMOTORSALE_010

ภายใน ALL NEW  MITSUBISHI PAJERO SPORT
12
– PERFECT DESIGN ความสะดวกสบายที่มาพร้อมความหรูหราสำหรับคุณ
– T-SHAPE HIGH CONSOLE ดีไซน์โดดเด่นสะท้อนรสนิยมหรู ผสานความสะดวกสบายในการใช้งาน ด้วยการออกแบบปุ่มควบคุมให้อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ตัวคุณมากขึ้น เพื่อการใช้งานที่ง่ายขึ้น

13
– ELECTRIC PARKING BRAKE ความหรูหราที่มาพร้อมการใช้งาน ที่ง่ายขึ้นด้วยเบรกมือควบคุมด้วยไฟฟ้า เพียงใช้ปลายนิ้วดึงขึ้นเบาๆ เบรกก็จะทำงานทันที

14
– MULTI-FUNCTION STEERING WHEEL สวิตช์ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ บนพวงมาลัยใช้งานเพียงปลายนิ้วให้คุณควบคุมอุปกรณ์ได้โดยตรงโดยไม่ต้องละมือจากพวกมาลัยและละสายตาจากถนน *เฉพาะรุ่น GT-Premium

15
– DUAL ZONE AUTOMATIC AIR CONDITIONER ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แบบแยกปรับอุณหภูมิ ซ้าย-ขวา *เฉพาะรุ่น GT-Premium, GT

16
– ROOF MONITOR จอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลังแบบ Wide Screen พร้อมเครื่องเล่น DVD และหูฟังอินฟราเรด ให้ความเพลิดเพลินในการดูหนัง ฟังเพลง ตลอดการเดินทาง *เฉพาะรุ่น GT-Premium, GT

 

เครื่องยนต์ ALL NEW  MITSUBISHI PAJERO SPORT
ผสานขุมพลังและความแกร่งเพื่อสมรรถนะถึงขีดสุด

21
23
– PERFECT PERFORMANCE ประสิทธิภาพเหนือระดับเพื่อสมรรถนะแห่งการขับขี่
– เครื่องยนต์ดีเซล คอนมอนเรล 2.4L 181 แรงม้า ที่มาพร้อมเสื้อสูบและฝาสูบอลูมินัม อัลลอย บล็อก ซึ่งมีน้ำหนักเบา ทนทาน แข็งแกร่ง และระบายความร้อนได้ดีเยี่ยม
– ระบบวาล์วแปรผัน MIVEC ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงบิดดีขึ้นในรอบต่ำทำให้เครื่องยนต์มีอัตราเร่งดีเยี่ยม ให้การเผาไหม้หมดจด ลดมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อม
– เพิ่มแรงม้ามากขึ้นด้วยขุมพลังของ VG Turbo ทำให้เครื่องยนต์มีกำลังสูง ทั้งในรอบปานกลาง และรอบสูง ตอบสนองทันใจ ช่วยให้ขับขี่สนุกและเร้าใจมากขึ้น

24
25
– เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด 8AT with Sport Mode + INC (ldle Neutral Control) and G-Sensor ระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะใหม่ล่าสุด ที่มีอัตราทดถึง 8 สปีด พร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์แบบไฟฟ้า ช่วยให้ทุกการเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างนุ่มนวล ทำงานควบคู่กับระบบ INC ที่ช่วยควบคุม และตัดระบบส่งกำลังไปยังเพลาขับโดยอัตโนมัติเมื่อเหยียบเบรก เพื่อหยุดรถในตำแหน่งเกียร์ “D” ลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันในการทุกการขับขี่และลดการสึกหรอของระบบเกียร์ ช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์ให้ยาวนานขึ้น พร้อมด้วยระบบ G-Sensor ช่วยควบคุมการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให่มีความแม่นยำมากขึ้นในทางลาดชัน

26
SUPER SELECT 4WD II เทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ เอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ทุกสภาพถนน โดยให้คุณสามารถเปลี่ยนโหลดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) แบบ Full-time All Wheel Control เพื่อเพิ่มความปลดภัยบนถนนลื่น และเมื่อต้องการขับขี่บนเส้นทางแบบ Off-Road คุณยังสามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น 4HLc หรือ 4LLc ได้ตามความต้องการและง่ายขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมด้วยปุ่ม Off-Road โหมด ที่ให้คุณสามารถเลือกรูปแบบการส่งกำลังเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิว และเส้นทางในการขับขี่ได้มากถึง 4 รูปแบบ (Gravel, Mud / Snow, Sand, Rock) *เฉพาะรุ่น GT-Premium

27
– 2H (2WD HIGH-RANGE) ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ เหมาะสำหรับการขับขี่แบบสภาพถนนปกติให้อัตราเร่งที่ดี และประหยัดน้ำมันเพราะกำลังของเคลื่อยนต์ทั้งหมด 100% จะถูกส่งไปยังล้อคู่หลังเท่านั้น

28
– 4HLC (4WD HIGH-RANGE WITH LOCKED TRANSFER) ระบบส่งกำลังจะถ่ายทอดกำลังเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้ง 4 โดยมีระบบ Center Differential Locked ทำหน้าที่ในการส่งกำลังในอัตราส่วนล้อหน้า 50% และล้อหลัง 50% เท่ากันตลอดเวลา สำหรับใข้ในเส้นทางทุรกันดาร แต่ยังสามารถใช้ความเร็วได้บนเส้นทางที่มีพื้นผิวแบบลื่นไถล (ในตำแหน่งนี้ไม่ควรใช้บนทงแห้ง)

29
– 4HLC (4WD HIGH-RANGE) ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เหมาะกับสภาพถนนเปียกลื่นที่ใช้ความเร็ว ในโหมดนี้ระบบส่งกำลังจะถ่ายทอดกำลังเครื่องยนต์ไปทั้งล้อหน้า 40% และล้อหลัง 60% บนถนนแห้ง และ ล้อหน้า 50% เมื่อถนนเปียกลื่นโดยระบบ Torsen (Torque-Sensitive Type) เพื่อประสิทธิภาพในการเกาะถนนและความปลอดภัยในตำแหน่งนี้ระบบจะทำงานแบบระบบขับเครือง 4 ล้อ แบบ Full-time All Wheel Control

30
– 4LLC (4WD LOW-RANGE WITH LCKED TRANSFER) ระบบส่งกำลังจะถ่ายทอดกำลังเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้ง 4 โดยมีระบบ Center Differential Locked ทำหน้าที่การส่งกำลังในอัตราส่วน ล้อหน้า 50% และล้อหลัง 50% เท่ากันตลอดเวลา และเกียร์ส่งกำลัง (Transfer Gear Ratio) จะเพิ่มอัตรทดให้สูงขึ้น ช่วยให้กำลังเครื่องมีมากขึ้น เหมาะสำหรับสภาพเส้นทางที่ทุรกันดารมากๆ และมีโคลน หรือเส้นทางแบบมีเนินสลับ และมีความลาดชันมาก (ในตำแหน่งนี้ไม่ควรใช้ความเร็วเกิน 70กม./ชม.)

 

31
ระบบความปลอดภัย ALL NEW  MITSUBISHI PAJERO SPORT
PERFECT SAFETY ผสานระบบความปลอดภัยอัจฉริยะเพื่อความมั่นใจสูงสุด

17
– FORWARD COLLISION MITIGATION SYSTEM ระบบเตือนชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ระบบจะทำงานโดยใช้เรดาร์ประเมินระยะห่างจากรถคันหน้า หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้าในช่องทางเดียวกัน ระบบจะทำการเตือนและช่วยชะลอความเร็ว พร้อมเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก เพื่อให้ประสิทธิภาพในการเบรกที่ดียิ่งขึ้น และเมื่อความเร็วต่ำกว่า 30กม./ชม. ระบบช่วยเบรกจะทำงานอัตโนมัติ เมื่อพบว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะชนรถคันหน้าในช่องทางเดียวกันเพื่อบรรเทาความเสียหายจากการชน *เฉพาะรุ่น GT-Premium, GT

18
– ULTRASONIC MISACCELERATION MITIGATION SYSTEM ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบทำงานโดยใช้คลื่น Ultrasonic ตรวจจับวัตถุที่อยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังในระยะไม่เกิน 4 เมตร ในขณะที่เกียร์อยู่ตำแหน่ง “D” หรือ “R” หากมีการเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบจะทำงานตัดกำลังเครื่องยนต์อัตโนมัติ 5 วินาที และทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 10กม./ชม. เพื่อช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการชน *เฉพาะรุ่น GT-Premium

19
– MULTIAROUND MONITOR กล้องมองภาพรอบคัน ระบบทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่งรอบตัวรถ เพื่อประมวลผลและแสดงภาะแบบ Bird’s Eye View ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นภาพได้รอบตัวรถ เพิ่มความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการจอดรถได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น *เฉพาะรุ่น GT-Premium หมายเหตุ : ระยะการจับภาพของกล้องมองภาพรอบคันเป็นเพียงภาพจำลองเพื่อความเข้าใจเท่านั้น

20
– BLIND SPOT WARNING ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา เพื่อความปลอดภัยในการเปลี่ยนแลน ระบบจะส่งสัญญาณไฟเตือนบนกระจกมองข้างให้ผู้ขับขี่ทราบว่ามีรถอยู่ในจุดอับสายตา ซึ่งไม่สามารถมองเห็นจากกระจกมองข้าง และในขณะเดียวกันหากเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ระบบจะส่งเสียงเตือนพร้อมสัญญาณเตือนไฟกะพริบบนกระจกมองข้าง ทั้งนี้ระบบจะทำงานที่ความเร็วๆ 20-140 กม./ชม. *เฉพาะรุ่น GT-Premium

COLORS สี MITSUBISHI ALL NEW PAJERO SPORT

มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ 1.สีขาว 2.สีเงิน 3.สีเทาเข้ม 4.สีน้ำตาล 5.สีดำ

1

ALL NEW MITSUBISHI PAJERO SPORT สีขาว

2

ALL NEW MITSUBISHI PAJERO SPORT สีเงิน

3

ALL NEW MITSUBISHI PAJERO SPORT สีเทาเข้ม

4

ALL NEW MITSUBISHI PAJERO SPORT สีน้ำตาล

5

ALL NEW MITSUBISHI PAJERO SPORT สีดำ

*ของแถม Mitsubishi Pajero Sport จัดเต็ม ติดต่อ  เซลล์ คุณเอก  086-3667970 เลียบทางด่วนรามอินทรา


ใหม่ All New Mazda BT-50 PRO 2015-2016 ราคา มาสด้า บีที-50 โปร ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์

$
0
0

ใหม่ All New Mazda BT-50 PRO 2015-2016 ราคา มาสด้า บีที-50 โปร ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์

2015-Mazda-BT-50-Pro 2015-Mazda-BT-50-Pro-TH-Launch_17

2-11 233-13-2456782015-Mazda-BT-50-Pro-TH-Launch_21

NEW MAZDA BT-50 PRO นิยามใหม่ของความแกร่ง
เปลี่ยน…สู่นิยามใหม่ของ ความแกร่งที่แท้จริง ด้วยดีไซน์ใหม่ เข้มและดุดันรอบคัน สะท้อนบุคลิกแกร่งจากหน้าจรดท้าย พร้อมท้าเผชิญทุกอุปสรรค ฟันฝ่าทุกเส้นทางและทุกสภาพอากาศอย่างมั่นใจ ตอบทุกรูปแบบการใช้ชีวิต ทั้งเรื่องงานและครอบครัว ด้วยขุมพลังเต็มสูบของเครื่องยนต์ดีไอ-ธันเดอร์ โปร Di-THUNDER PRO 2.2 ลิตร และ 3.2 ลิตร ที่เร่งแรงได้ใจ เรียกกำลังได้ทั้งในรอบต่ำและรอบสูง พร้อมช่วงล่างอันเลื่องชื่อ ซูปเปอร์ ดีอี-เอส SUPER DE-S ที่เกาะถนนแน่นหนึบ ปลอดภัยทุกโค้ง พร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำแบบจัดเต็ม ภายในหรูหราสไตล์เก๋ง ให้ความสะดวกสบายโดดเด่นเหนือกว่าปิกอัพทั่วไป แม้อุปสรรคจะลำบากเพียงใด ก็ไม่อาจขว้างกั้นเป้าหมายของคุณ

Mazda BT-50 PRO 2015 ราคา

Mazda BT-50 PRO Standard Cab เครื่องยนต์ดีเซล
ราคา Mazda BT-50 PRO Standard Cab 2.2 S ราคา 561,000 บาท

Mazda BT-50 PRO Freestyle Cab เครื่องยนต์ดีเซล
ราคา Mazda BT-50 PRO Freestyle Cab  2.2 S ราคา 612,000 บาท
ราคา Mazda BT-50 PRO Freestyle Cab  2.2 V ราคา 657,000 บาท
ราคา Mazda BT-50 PRO Freestyle Cab  2.2 Hi-Racer ราคา 688,000 บาท
ราคา Mazda BT-50 PRO Freestyle Cab  2.2 Hi-Racer ABS ราคา 741,000 บาท

Mazda BT-50 PRO Double Cab 4 ประตู เครื่องยนต์ดีเซล
ราคา Mazda BT-50 PRO Double Cab 2.2 S ราคา 652,000 บาท
ราคา Mazda BT-50 PRO Double Cab 2.2 V ABS ราคา 784,000 บาท
ราคา Mazda BT-50 PRO Double Cab 2.2 Hi-Racer ราคา 780,000 บาท
ราคา Mazda BT-50 PRO Double Cab 2.2 Hi-Racer ABS ราคา 815,000 บาท
ราคา Mazda BT-50 PRO Double Cab 2.2 Hi-Racer ABS AT ราคา 858,000 บาท
ราคา Mazda BT-50 PRO Double Cab 2.2 Hi-Racer ABS เบาะหนัง AT ราคา 893,000 บาท
ราคา Mazda BT-50 PRO Double Cab 4×4 3.2 R ABS/DSC/เบาะหนัง ราคา 996,000 บาท
ราคา Mazda BT-50 PRO Double Cab 4×4 3.2 R ABS/DSC/เบาะหนัง AT ราคา 1,023,000 บาท

New MazdaBT-50 รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร
ราคา Mazda BT-50 Pro รุ่นสแตนดาร์ดแค็ป Standard 2.5 S ราคา 561,000 บาท
ราคา Mazda BT-50 Pro รุ่นฟรีสไตล์แค็ป Freestyle Cab 2.5 S ราคา 612,000 บาท
ราคา Mazda BT-50 Pro รุ่นดับเบิ้ลแค็ป Double Cab 2.5 S ราคา 652,000 บาท

ของแถม Mazda BT-50 จัดเต็ม ติดต่อ เซลล์ คุณต้อย 085-902-4197 ID Line : mr.wera
หรือ คุณนนท์ 086-338-6274 Line : nonthanat สาขานารา รังสิต

ราคา มาสด้า บีที-50 โปร ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์
นนนิภา

ชมงานเปิดตัว NEW MAZDA BT-50 PRO  [FULL HD 1080P]

ภายนอก  New Mazda BT-50 PRO  ดีไซน์ใหม่ เติมความแกร่ง เข้มทุกมิติ

2
มุมมองใหม่ของการออกแบบ ฉีกทุกการออกแบบปิกอัพสไตล์เดิมๆ ที่เป็นเพียงรูปทรงกล่องสี่เหลี่ยม ปรับโฉมให้รุปลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความแกร่งในนิยามที่แตกต่าง ดุดันขึ้น เข้มเต็มสไตล์ทุกมุมมองรอบคัน ภายใต้มิติรถขนาดใหญ่กว่าปิกอัพทั่วไปในตลาด สะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ใช้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ซ้ำทางใคร

พบความลงตัวใหม่ของปิกอัพแห่งยุค ลบทุกภาพความเดิมของปิกอัพที่เคยสัมผัส ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกดีไซน์แกร่ง ที่พร้อมเผชิญทุกสภาพถนน ภายในหรูหรา ให้อารมณ์เดียวกับห้องโดยสารรถเก๋งระดับพรีเมี่ยม มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ จึงเป็นคำตอบที่ใช่ ในฐานะเพื่อนคู่กายบนทุกเส้นทางสู่ความสำเร็จตามแบบฉบับของคุณ

 

3

4
– กล้องมองหลังใหม่ พร้อมจอแสดงผลบนกระจกมองหลัง

5
– ไฟเบรกท้ายดวงที่สามดีไซน์ใหม่

6
– ไฟท้ายดีไซน์ใหม่

7
– ไฟหน้าดีไซน์ใหม่

8
– กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ เพิ่มความเข้ม เสริมความแกร่ง อันเป็นเอกลักษณ์ของมาสด้าที่ไม่ตามใคร

9
– บันไดข้างดีไซน์ใหม่

10
– ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 17 นิ้ว

 

ภายใน New Mazda BT-50 PRO Double Cab ห้องโดยสารหรู พรีเมี่ยม ระดับรถเก๋งขนาดใหญ่
ห้องโดยสาร และการตกแต่งภายในของมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ โดดเด่นเหนือกว่าปิกอัพทั่วไป ด้วยความหรูหรา พรีเมี่ยมเทียบเท่ารถยนต์นั่งขนาดใหญ่ ให้ความสะดวกสบาย ไม่ต่างจากรถยนต์ระดับหรู ด้วยการออกแบบสไตล์ค๊อกพิท (Cockpit Design) ที่เน้นทั้งให้ผู้ขับสะดวกในการควบคุมรถและใช้อุปกรณ์ภายใน ทั้งให้ความสบายแก่ผู้โดยสาร ด้วยเบาะนั่งที่โอบกระชับและตำแหน่งของการนั่งที่เหมาะสม พร้อมออพชั่นสะดวกสบายอย่างครบครัน บรรยากาศการเดินทางในมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ จึงรื่นรมย์และเพลิดเพลินในทุกเส้นทาง

21

– ห้องโดยสารหรูหราสไตล์รถเก๋ง สีภายในเข้มบอกอารมณ์หรูที่ลุ่มลึก ตกแต่งแต่ละส่วนของห้องโดยสารด้วยวัสดุสีเงิน

181920
– เบาะหนัง
– เบาะผ้าแบบสปอร์ต
– เบาะผ้าแบบมาตรฐาน

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายเหนือใคร ด้วยออฟชั่นสไตล์เก๋ง

ห้องโดยสารหรูหราสไตล์รถเก๋ง สีภายในเข้มบอกอารมณ์หรูที่ลุ่มลึก ตกแต่งแต่ละส่วนของห้องโดยสารด้วยวัสดุสีเทา เติมความสปอร์ตอีกระดับด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง ที่ทั้งกว้างและสูง นุ่มนวล สบาย รองรับช่วงโค้งเว้าของสรีระ โดยเฉพาะเอกและหลังได้อย่างกระชับ บริเวณห้องโดยสารด้านหลังกว้างขวาง โล่งโปร่งสบาย เบาะนั่งรองรับบริเวณท้องขา พร้อมพนักหลังลาดเอียงในองศาที่ผู้โดยสารนั่งสบาย ผ่อนคลายและไม่เมื่อยล้า ภายในห้องโดยสารมีช่องเก็บของพร้อมฝาปิด ช่วยให้จัดเก็บสัมภาระได้เรียบร้อย เพลิดเพลินด้วยออพชั่นครบครันและเทคโนโลยีเชื่อมต่อที่ล้าสมัย ที่ให้ทั้งความสะดวกสบายและความบันเทิงแก่ทุกคนไม่ต่างจากรถเก๋ง

22
– ช่องเก็บแว่นตา

23
– ลำโพงเสียงแหลมแบบบิวท์-อิน (Built-in tweeter) ติดตั้งอย่างกลมกลืนที่ด้านในของกระจกมองข้าง ส่งทิศทางเสียงเข้าตำแหน่งผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า

24
– ช่องเก็บของคอนโซลกลาง

25
– กล้องมองหลัง

26
– ที่วางขวดน้ำคอนโซลกลาง

27
– ช่องเก็บของที่แผงประตู พร้อมที่วางขวดน้ำ

28
– ช่องเก็บของที่คอนโซลหน้า

30
– ช่องเก็บของใต้เบาะผู้โดยสารตอนหลัง ช่วยให้จัดเก็บสัมภาระได้เรียบร้อย

51
– ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอกกำลังไฟ 12 โวลท์ (12V) ถึง 3 ตำแหน่ง

31
– ช่องต่อ AUX/USB

32
– เติมความสปอร์ตอีกระดับด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง (Leather Seat) ที่ทั้งกว้างและสูง นุ่มนวล สบาย รองรับช่วงโค้งเว้าของสรีระ โดยเฉพาะเอวและหลังได้อย่างกระชับ

33
– กุญแจพับเก็บได้แบบ Jack Knife Type ดูหรู ทันสมัย

34
– พวงมาลัยสามก้านทรงสปอร์ต สไตล์เฉกเช่นรถยนต์นั่งหรู แผงหน้าปัดและมาตรวัดความเร็วทรงกลมแบบไร้ขอบ (Hoodless Design) ออกแบบแยกส่วนเป็นอิสระจากกัน เสริมรับกับช่องแอร์รูปทรงกลมที่เป็นดีไซน์ของรถสปอร์ตหรูของมาสด้า

 

เครื่องยนต์ New Mazda BT-50 PRO Double Cab

35
– 3.2 ลิตร i5
New Mazda BT-50 PRO Double Cab
แกร่งได้… ไร้ข้อจำกัด
เพิ่มอิสระให้กับชีวิต ให้มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ เป็นเพื่อนร่วมทางที่ตอบสนองการใช้งานเมื่อต้องการรถยนต์นั่งเพื่อทุกคนในครอบครัว ด้วยห้องโดยสารโอ่โถง เบาะนั่งนุ่มสบาย หรือต้องการใช้งานปิกอัพเพื่อบรรทุกสิ่งของ ก็พร้อมท้าเผชิญทุกอุปสรรค ด้วยความแกร่ง ครบครันทั้งขนาด ความอเนกประสงค์ ความทนทาน สมบุกสมบัน ลบทุกข้อจำกัดที่กีดกั้นคุณจากการออกไปสู่ประสบการณ์ใหม่

Engine
แรงทรงพลัง ประหยัดน้ำมันอย่างโปร
มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ สมรรถนะแกร่งด้วยเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลใหม่ Di-THUNDER PRO 2 ขนาด คือเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร Di-THUNDER PRO 3.2 i5 และเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร Di-THUNDER PRO 2.2 ที่ทำงานร่วมกับเทอร์โบแปรผันใหม่ (Variable-Nozzle Turbocharger) และอินเตอร์คูลเลอร์ใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมระบบคอมมอนเรลไดเร็กอินเจ็กชั่นที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน เหนือกว่าเครื่องยนต์ระดับเดียวกันทั้งแรงม้าและแรงบิด ให้กำลังแรงสะใจตั้งแต่รอบต่ำ โดยแรงบิดออกแบบด้วยคุณสมบัติ Flat Torque ที่ให้กำลังสูงในรอบเครื่องยนต์ต่ำไปจนถึงรอบเครื่องยนต์ปานกลาง ทำให้ได้กำลังเต็มสมรรถนะ เครื่องยนต์ตอบสนองอย่างต่อเนื่อง ทั้งการออกตัว การเร่งแซง การควบคุมความเร็วรถ เพลิดเพลินในทุกสถานการณ์การขับขี่ แรงเต็มพิกัด แม้ในวันที่ต้องรับน้ำหนักบรรทุก

36
– 2.2 ลิตร
– เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล Di-THUNDER PRO VN TURBO เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ DOHC แบบ 5 สูบ 20 วาล์ว ขนาด 3.2 ลิตร แรงม้าสูงสุด 200 แรงม้า (147 กิโลวัตต์) ที่ 3000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร ที่ 1750-2500 รอบต่อนาที
– เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล Di-THUNDER PRO VN TURBO เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ DOHC แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 2.2 ลิตร แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า (110 กิโลวัตต์) ที่ 3700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 375 นิวตัน-เมตร ที่ 1500-2500 รอบต่อนาที
– เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล Di-THUNDER PRO VN TURBO เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ DOHC แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 2.2 ลิตร แรงม้าสูงสุด 125 แรงม้า (92 กิโลวัตต์) ที่ 3700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ที่ 1600-1700 รอบต่อนาที

37
– เทอร์โบแปรผันใหม่

Transmission

38
– เกียร์อัติโนมัติ 6 สปีด

39
– เกียร์ธรรมดา 6 สปีด

40
– ฟังก์ชั่นเตือนเปลี่ยนเกียร์ Up-Shift Indicator

– เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ช่วยเสริมสมรรถนะแรงและประหยัดอย่างแท้จริง เพราะมีฟังก์ชั่น Up-Shift Indicator เป็นสัญญาณไฟเตือนเปลี่ยนเกียร์ที่หน้าปัด ช่วยเตือนให้ผู้ขับเปลี่ยนเกียร์ตามช่วงความเร็วที่เหมาะสม เพื่อลดการลากรอบเครื่องยนต์โดยไม่จำเป็น
– เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เป็นครั้งแรกในรถปิกอีพที่มีเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดคุณภาพสูง มากด้วยระบบที่ก้าวล้ำ ได้แก่ระบบ SSC (Sequential Shift Control) ที่ให้ผู้ขับเลือกเปลี่ยนเกียร์เองได้เสมือนการขับขี่แบบเกียร์ธรรมดา และระบบ AAS (Active Adaptive Shift) ที่ช่วยคุมการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่

41
ระบบ Shift on the Fly
– ลุยน้ำได้สูงถึงระดับ 80 เซนติเมตร ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อยกสูง Hi-Racer และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และระดับ 60 เซนติเมตร ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ โดยที่เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังของรถยังทำงานได้ตามปกติ เพราะวางตำแหน่งของอัลเทอเนเตอร์ (Alternator) ไว้ในตำแหน่งที่สูงกว่ารถปิกอัพทั่วไป
– ระบบเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป (Limited Slip Differential) ช่วยป้องกันภาวะล้อหมุนฟรีขณะติดหล่ม เพิ่มศักยภาพการลุยในเส้นทางออฟโรด
– ระบบชิฟท์ ออน เดอะ ฟลาย (Shift on the Fly) ควบคุมด้วยไฟฟ้า สามารถปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจากแบบ 2 ล้อเป็น 4 ล้อได้ระหว่างขับขี่โดยไม่ต้องหยุดรถ* เพียงสั่งงานด้วยสวิตช์อิเล็กทรอนิกส์ในห้องโดยสาร

*ที่ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง

 

ความปลอดภัย New Mazda BT-50 PRO Double Cab
ปลอดภัยเหนือระดับ… มั่นใจตลอดเส้นทาง
พบนิยามใหม่ของความแกร่งสำหรับรถปิกอัพ ที่การันตีด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ครบครันด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยของมาสด้า ทั้งเชิงปกป้องและเชิงป้องกัน มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ทุกรุ่น จึงเป็นเพื่อนร่วมทางที่คุณวางใจได้ในทุกวินาที

มาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก
มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ เป็นหนึ่งในปิกอัพที่มีความปลอดภัยสูงสุด เพราะใช้มาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก และเป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับที่มีในรถยนต์นั่งมาสด้าทุกรุ่น
– ช่วงล่างอัจฉริยะใหม่ SUPER DE-S เทคโนโลยีการจูนช่วงล่างของมาสด้าที่เลี่องชื่อ และได้รับการยอมรับว่าไว้ใจได้ในความปลอดภัย ช่วงล่างด้านหน้าแบบปีกนกคู่ (Double-Wishbone) กับคอยล์สปริง นุ่มสบาย และดูดซับแรงสะเทือนไม่ให้เข้าถึงห้องโดยสารได้อย่างดี เสริมด้วยเหล็กกันโคลงหน้า (Stabilizer Bar) ช่วยเพิ่มเสถียรภาพการทรงตัว ช่วงล่างด้านหลังแบบคานแข็งและชุดแหนบ (Leaf-Spring) รับน้ำหนักบรรทุกได้เหลือเฟือ และมีประสิทธิภาพสูงในการเกาะถนน พร้อมให้สมรรถนะการบังคับควบคุมที่ดี

– โครงสร้างตัวถังขึ้นรูปจากเหล็กกล้าทนแรงดึงสูง (Ultra High tensile Steel) ที่แข็งแกร่งและมีน้ำหนักเหมาะสมกับขนาดเครื่องยนต์ยิ่งขึ้น
– กล้องมองหลัง พร้อมจอแสดงผลบนกระจกมองหลัง
– ระบบป้องกันการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
– ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (Roll-Over Mitigation)
– ระบบควบคุมน้ำหนักบรรทุกแบบแปรผัน LAC (Load Adaptive Control)
– ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
– กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ
– ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉิน กะพริบเมื่อเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
– เข็มขัดนิรภัยแบบดึงรั้งกลับอัตโนมัติ 3 จุด 2 ตำแหน่ง
– ถุงลมนิรภัยเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น

46
– ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว DSC
42

– ช่วงล่างอัจฉริยะ ซูเปอร์ ดีอี-เอส
44
– ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (Dual Airbag)

 

ระบบเบรก
47
– ระบบเพิ่มแรงเบรคฉุกเฉิน EBA (Emergency Brake Assist) และระบบเบรกอัตโนมัติ BOS (Break Override System)

48
– ระบบช่วยการทรงตัวขณะลากจูง

49

45
– Hill Descend Control & Hill Launch Assist

 

COLORS สี New Mazda BT-50 PRO

มาสด้า บีที-50 โปรใหม่ มีให้เลือก 7 สี ได้แก่ 1.สีขาว คูล ไวท์ 2.สีน้ำตาล ไททาเนียม แฟลช 3.สีขาวมุก สโนว์เฟลก 4.สีเงิน อลูมินัม 5.สีดำ แบล็ก ไมก้า 6.สีแดง ทรู เรด  และ 7.สีน้ำเงิน ดีพ คริสตัล บลู

11
New Mazda BT-50 PRO Double Cab สีขาว คูล ไวท์

12
New Mazda BT-50 PRO Double Cab สีน้ำตาล ไททาเนียม แฟลช

13
New Mazda BT-50 PRO Double Cab สีขาวมุก สโนว์เฟลก

14
New Mazda BT-50 PRO Double Cab สีเงิน อลูมินัม

15
New Mazda BT-50 PRO Double Cab สีดำ แบล็ก ไมก้า

16
New Mazda BT-50 PRO Double Cab สีแดง ทรู เรด

17
New Mazda BT-50 PRO Double Cab สีน้ำเงิน ดีพ คริสตัล บลู

Test Drive : รีวิว All-new Ford Everest พร้อมลุยทุกเส้นทางเพื่อเป็นที่หนึ่ง

$
0
0

New Ford Everest-Water

ฟอร์ด ประเทศไทย ขอกลับมาลุยตลาดรถยนต์อเนกประสงค์อย่างจริงจังอีกครั้งด้วย Ford Everest โฉมใหม่  ครั้งนี้ฟอร์ดมั่นใจอย่างมาก ว่าเป็นรถ SUV ที่ดีกว่าคู่แข่งทุกรายในตลาด  ฉีกความคิดเดิม ๆ ที่ว่ารถ PPV เป็นเพียงแค่รถกระบะดัดแปลง ให้อารมณ์การขับขี่ไม่ต่างจากรถกระบะ  แต่ฟอร์ดตั้งใจเรียก Everest โฉมใหม่นี้ว่าเป็น SUV ไม่ใช่ PPV  เพราะเป็นการพัฒนาต่อยอดที่ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับรถ กระบะ Ford Ranger  ต้องขอท้าให้มาพิสูจน์ทดลองขับด้วยตนเอง แล้วจะรู้ว่า Ford Everest เป็นรถ PPV ที่แตกต่างจากรถ PPV ทั่วไป แต่ถูกยกระดับจนทำให้รู้สึกเหมือน SUV

ทีมงาน 9CarThai ได้ร่วมทดสอบขับกับคณะสื่อมวลชนในแวดวงยานยนต์ที่จังหวัดเชียงราย  ทดสอบขับบนเส้นทางจริงจากพื้นราบไปสู่บนดอย ผ่านเส้นทางสุดโหดในทุกรูปแบบ รวมระยะทางกว่า 96.3 กิโลเมตร  เพื่อพิสูจน์สมรรถนะในการใช้งานจริง ไม่ใช่สนามจำลอง

SONY DSC

ในการทดสอบขับ จะมีการสลับขับจนครบทุกรุ่นและครบทุกสภาพถนน

SONY DSC

Ford Everest ที่จัดมาให้ได้ทดสอบขับ มีครบทุกสี ทั้งรุ่น 2.2L Titanium 4×2 AT (ราคา 1,269,000 บาท) และ 3.2L Titanium+ 4×4 AT (ราคา 1,599,000 บาท)  รถบางคันที่เห็นในบทความนี้ เป็นสีที่ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย ได้แก่ สีแดงสดและสีฟ้าคราม  แต่เนื่องจากมีสื่อมวลชนจากต่างประเทศมาร่วมทดสอบขับด้วย จึงต้องจัดมาให้ครบทุกสีที่ผลิตส่งออกจากโรงงานในไทย

 

ดีไซน์ภายนอก แกร่งและดุดันสไตล์อเมริกัน

เริ่มต้นทำความรู้จักกับ Ford Everest 2.2L Titanium กันก่อน ดีไซน์ภายนอกรอบคันให้อารมณ์แบบรถ SUV คันใหญ่ เน้นการใช้งานที่อเนกประสงค์ ใช้ประโยชน์ได้จริงในทุกรูปแบบการเดินทาง  ไม่ได้เน้นดีไซน์สปอร์ตแหลมคมโฉบเฉี่ยวแบบคู่แข่ง

SONY DSC

กระจังหน้าโครเมี่ยมขนาดใหญ่ ดูแกร่งดุดันสไตล์อเมริกันที่คนไทยคุ้นเคยกันดีในภาพยนตร์ฮอลลีวูด

SONY DSC

ไฟตัดหมอก 2 ข้างครอบด้วยบาร์สีบรอนซ์เงินชิ้นยาว ดูสวยลงตัว

SONY DSC

มือจับประตู สีเดียวกับตัวรถ, ล้ออัลลอย 6 แฉกลายใหม่ และบานประตูหลังขนาดใหญ่ เข้าออกที่นั่งได้สะดวก

SONY DSC

ไฟตัดหมอกหลัง 2 ข้างก็ครอบด้วยบาร์สีบรอนซ์เงินเหมือนไฟตัดหมอกหน้า

SONY DSC

สีขาวยอดนิยมที่คนไทยชื่นชอบ ต่อมาดูสีแดงกันบ้าง ซึ่งเป็นสีที่ฟอร์ดใช้สื่อสารในการทำตลาด

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

ไฟท้ายเป็นแบบ LED Tube วางแนวรูปตัว C

SONY DSC

ย้ำอีกครั้งว่ารุ่น 2.2L ไม่มีไฟ DRL แต่แถบโครเมี่ยมในโคมไฟหน้าดูหลอกตาจนนึกว่ามี

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

Emblem ตรงนี้ จะช่วยแยกความแตกต่างของรุ่น 3.2L กับ 2.2L ได้ในเบื้องต้น

SONY DSC

กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ

SONY DSC

ดูสวยงามไม่แพ้กันทั้ง 2 สี  จะสังเกตว่าในรุ่น 2.2L ไฟหน้ารถเป็นแบบ Projector แต่ไม่มีไฟ Daytime Running Light

SONY DSC

ในประเทศไทย มีให้เลือก 5 สี คือ สีขาว สีแดง ที่เห็นกันไปแล้ว และมีสีทอง สีเงิน กับสีดำ ให้เลือกเช่นกัน ส่วนราคาก็ตามในภาพ คือ

3.2L Titanium+ 4WD  1,599,000 บาท
3.2L Titanium 4WD  1,459,000 บาท
2.2L Titanium 2WD  1,269,000 บาท

เรามาดู Everest สีอื่นกันบ้าง บางสีนอกเหนือจากที่ระบุ จะไม่มีจำหน่ายในไทย ผลิตเพื่อการส่งออกอย่างเดียว

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

ทีมงานได้ทดสอบขับรุ่น 2.2L สีดำ ส่วนสื่อท่านอื่นบ้างก็ได้ทดสอบรุ่น 3.2L แต่อย่างไรก็ตาม ก็จะสลับหมุนเวียนขับ ได้สัมผัสกันครบทุกท่าน

 

ภายในห้องโดยสาร กว้างขวาง หรูหรา สะดวกสบาย

Everest ในจำหน่ายในไทย จะได้เป็นเบาะสีเบจเท่านั้น ไม่มีสีดำให้เลือก ส่วนเพดานห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยสีเทาเข้ม เพื่อให้ Moon Roof มีความโดดเด่น

SONY DSC

SONY DSC

เริ่มต้นที่ฝั่งผู้โดยสารตอนหน้ากันก่อน ซึ่ง Everest คันนี้เป็นรุ่น 3.2L Titanium + แน่นอนว่าอุปกรณ์และการตกแต่ง ถูกใส่เข้ามาแบบจัดเต็ม

SONY DSC

มีไฟเรืองแสงสีฟ้าคำว่า Everest สุดเท่  เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า ปรับด้วยไฟฟ้า

SONY DSC

ผนังประตูและเบาะที่นั่งสีเบจ ทำให้ห้องโดยสารดูสว่าง กว้างขวาง

SONY DSC

SONY DSC

ผนังประตู ตกแต่งด้วยหนัง มือจับด้านในและที่เปิดประตู ดูสวยงามหรูหราดี

SONY DSC

มีลำโพง Tweeter ติดตั้งมาให้ เมื่อรวมทั้งคัน มีลำโพงทั้งหมด 9 ตำแหน่ง

SONY DSC

SONY DSC

คอนโซลดีไซน์เรียบหรู ใช้งานสะดวก วางของได้ ไม่ลาดเอียง

SONY DSC

ช่องเก็บของและเอกสารด้านหน้า ความจุน้อยไปหน่อย

SONY DSC

ตกแต่งด้วยหนังสีน้ำตาลเนื้อนุ่ม เดินเส้นด้ายเย็บจริง ไม่ใช่พลาสติกขึ้นรูปหลอกตา

SONY DSC

โลโก้ Everest แห่งความภาคภูมิใจ

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

เบาะที่นั่งขนาดใหญ่ นั่งสบาย รองรับสรีระได้ดี ไม่แข็ง ขับทั้งวันยังไม่รู้สึกเมื่อยล้า

SONY DSC

ปีนเข้าออกได้สะดวก ด้วยราวจับที่เสาหลังคา

SONY DSC

กระจกส่องหน้าพร้อมไฟส่องสว่างแบบเต็มแม็กซ์ และที่เก็บแว่นตา

SONY DSC

มาดูฝั่งผู้ขับกันบ้าง

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

ตกแต่งหรูหรา ใช้วัสดุทำสีเงินผิวด้าน เป็นรอยขีดข่วนและเห็นคราบรอยนิ้วมือได้ยากกว่าแบบโครเมียม

SONY DSC

เบาะที่นั่งปรับด้วยไฟฟ้า ปรับระดับความสูงได้เยอะมาก ทั้งตำแหน่งรองก้นและรองหลังเข่า

SONY DSC

มีที่พักเท้าซ้าย

SONY DSC

SONY DSC

ห้องโดยสารดูโปร่ง กว้าง และสว่าง

SONY DSC

ออกแบบเน้นประโยชน์ใช้สอย หยิบจับ สั่งงานได้สะดวกทุกอย่าง

SONY DSC

ไม่มีปุ่ม Push Start ใช้กุญแจแบบปกติ  ถัดไปทางขวาของช่องกุญแจ เป็นสวิตช์ปิดเปิดและปรับแสงไฟส่องสว่างหน้ารถ

SONY DSC

SONY DSC

กุญแจรีโมท พับเก็บได้ กดเปิดฝาท้ายรถได้

SONY DSC

เหนือมาตรวัด ใกล้ขอบกระจกหน้ารถ มี LED สีแดง คอยเตือนเมื่อเข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป หรือมีรถขับจี้ท้ายในตำแหน่งมุมท้ายรถทั้งสองข้าง  โดยแสงสีแดงจาก LED เรียงแถว จะยิงขึ้นไปสะท้อนทำมุมกับกระจก หักเหให้ผู้ขับมองเห็นได้ชัดเจน และรู้ว่าเซ็นเซอร์ฝั่งใดที่เตือน (Front/LeftRear/RightRear)

SONY DSC

เมื่อเข้ามานั่ง ก็รู้สึกว่าตำแหน่งของเกียร์และปุ่มต่าง ๆ บนแผงคอนโซลกลาง สามารถสั่งงานได้ง่าย โดยอยู่ไม่ไกลเกินไป ไม่ต้องเอื้อมมือจนสุดแขน

SONY DSC

มาตรวัดความเร็วแบบ Analog และมีจอภาพขนาบสองฝั่ง บอกข้อมูลที่สำคัญ ทั้งความบันเทิงและการขับขี่ที่จำเป็นต้องรู้

SONY DSC

SONY DSC

ปุ่มควบคุมบนพวงมาลัยมีสองฝั่ง ปุ่มฝั่งซ้ายสำหรับสั่งงานจอแสดงข้อมูลฝั่งซ้ายของมาตรวัด และปุ่มฝั่งขวาสำหรับสั่งงานจอแสดงข้อมูลฝั่งขวานั่นเอง ลดความสับสน

SONY DSC

ตัวอย่างการแสดงข้อมูล บอกถึงระยะห่างกับรถคันข้าง ๆ รอบทิศ บอกว่ารถอยู่ในแนวระนาบหรือไม่ คิดเป็นกี่องศาเมื่อขับบนทางลาดชัน หรือทำหน้าที่เป็น Gyrometer นั่นเอง

SONY DSC

ระยะทางที่วิ่งต่อไปได้จนกว่าน้ำมันจะหมดถัง

SONY DSC

รอบต่อนาที

SONY DSC

จอภาพฝั่งซ้ายเน้นไปที่การเชื่อมต่อสื่อสารและความบันเทิงในรถ

SONY DSC

จอภาพหลัก เป็นจอภาพขนาดค่อนข้างใหญ่ สั่งงานด้วยระบบสัมผัสที่ไวดี จอภาพตัดแสงสะท้อนจากภายนอกรถได้ดี สีสันสดใส อ่านง่าย เมนูดูดีทันสมัย ใช้งานง่าย

SONY DSC

เครื่องปรับอากาศ แยกปรับอุณหภูมิอิสระซ้ายขวา

SONY DSC

วิทยุ AM / FM สแกนเร็ว ใช้งานง่าย

SONY DSC

เชื่อมต่อไร้สายกับสมาร์ทโฟนได้ง่าย เพื่อใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 2.0

SONY DSC

มีปฏิทิน เหมือนเป็น Organizer ส่วนตัวขนาดย่อม

SONY DSC

เมนูการตั้งค่าหลักของระบบ

SONY DSC

ตั้งค่ากล้องมองหลัง ช่วยกะระยะถอยจอด

SONY DSC

ปรับระดับเสียงได้ทั้งย่านทุ้ม กลาง แหลม

SONY DSC

ตั้งค่าหรี่แสงจอภาพแบบอัตโนมัติได้ เพื่อให้เหมาะสมทั้งกลางวันและกลางคืน

SONY DSC

กำหนดให้แสดงอุณหภูมิภายนอกรถ พร้อมนาฬิกาบนจอภาพไว้ตลอดเวลาก็ได้

SONY DSC

SONY DSC

ปุ่มปรับเครื่องเสียงและเครื่องปรับอากาศ มีไฟเรืองแสงสีฟ้า สวยงามเย็นตา  เสียดายที่มีเวลาจำกัด จึงไม่ได้ทดสอบระบบ SYNC 2.0  ในส่วนของคุณภาพเสียง จะกล่าวสรุปตอนท้าย

SONY DSC

ย้ายมาดูกันต่อในห้องโดยสารที่นั่งแถวที่ 2 กับ 3

SONY DSC

เบาะนั่งใน 2 แถวหลัง สามารถพับให้เป็นระนาบเดียวกันได้โดยไม่มีขั้นบันได สามารถใส่สัมภาระชิ้นใหญ่ได้สบาย  โดยเบาะที่นั่งในแถวที่สองกับสาม พับได้ด้วยสัดส่วน 60:40 และ 50:50 ตามลำดับ

SONY DSC

ในรุ่น 3.2L Titanium + มีสวิตช์ปิดฝาท้ายด้วยไฟฟ้า ที่สามารถกดหยุดให้ค้างไว้ได้

SONY DSC

ฝาท้ายเปิดได้มุมสูง ไม่ต้องกลัวชน

SONY DSC

SONY DSC

ที่เก็บเครื่องมือเปลี่ยนล้ออะไหล่และสายไฟพ่วงแบตเตอรี่

SONY DSC

ป้องกันการขโมยล้ออะไหล่ที่ใต้ท้องรถได้ เพราะในการถอดล้ออะไหล่ จะต้องเปิดฝาท้ายแล้วใช้เครื่องมือที่มีมาให้กับรถ ไขปลดตัวล็อกที่ข้างกล่องเครื่องมือนี้เท่านั้น ไม่สามารถมุดใต้ท้องไปถอดล้ออะไหล่ออกมาได้โดยตรง

SONY DSC

ปรับพับเบาะที่นั่งแถวที่ 3 ได้ด้วยไฟฟ้า อิสระซ้ายขวา

SONY DSC

ช่องเสียบ Car Charger มีเยอะใกล้ทุกที่นั่ง

SONY DSC

มีไฟส่องห้องเก็บสัมภาระท้ายรถด้วย

SONY DSC

เชื่อว่าหลายคนคงจะชื่นชอบเบาะที่นั่งแถวที่ 3 พับขึ้นหรือราบลงได้ด้วยไฟฟ้า ทำให้ดูสะอาดตา ไม่มีเชือกดึงเบาะให้เกะกะสายตา

SONY DSC

มือจับฝาท้าย จับได้สะดวกสำหรับคนถนัดขวา

SONY DSC

กล้องมองหลังกะระยะถอยจอด มีเส้นบอกตามองศาการเลี้ยวของล้อด้วย เพื่อความแม่นยำในการจอด

SONY DSC

เรื่องที่หลายคนอยากรู้ ก็คือเบาะที่นั่งแถวหลังสุด

SONY DSC

ผู้ใหญ่ก็พอนั่งได้ แต่เหมาะกับเด็กมากกว่า เพราะผู้ใหญ่ขายาวกว่า จะกลายเป็นนั่งยอง ๆ ตลอดทาง

SONY DSC

ดึงที่รองศีรษะยืดออกมาได้สำหรับผู้ใหญ่หรือเด็กโต

SONY DSC

ช่องลมเครื่องปรับอากาศและไฟส่องสว่างสำหรับผู้โดยสารแถวหลังสุด ก็มีให้พร้อม

SONY DSC

เบาะที่นั่งแถวหลังสุด มีที่วางแขนและหลุมใส่ขวดน้ำให้ด้วย

SONY DSC

SONY DSC

การเข้าออกจากเบาะที่นั่งแถวที่ 3 ก็ไม่ยากเพราะบานประตูขนาดใหญ่เป็นพิเศษ เปิดได้กว้าง

SONY DSC

SONY DSC

ที่นั่งแถวที่ 2 สามารถนั่งได้ 3 คนโดยไม่อึดอัด มีพนักพิงศีรษะครบทุกที่นั่ง

SONY DSC

นอกจากปรับมุมพับเอนเบาะได้ ก็ยังเลื่อนเบาะเดินหน้า-ถอยหลังได้ด้วย

SONY DSC

SONY DSC

Leg room กว้าง นั่งสบาย ระยะห่างจากหัวเข่าถึงหลังเบาะหน้า เหลืออีกประมาณ 15-18 cm.

SONY DSC

สวิตช์ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ช่องจ่ายไฟทั้ง 12V และ 220V เสียบปลั๊ก Notebook นั่งทำงานได้เลย

SONY DSC

SONY DSC

ที่วางแขนและวางแก้วเครื่องดื่ม

SONY DSC

พนักพิงศีรษะ ปรับความสูงได้เยอะ

SONY DSC

ซันรูฟ เปิดรับแสงได้กว้าง หรือเลือกเปิดรับลมได้กว้างแค่ไหนก็ได้ตามต้องการ

SONY DSC

เปิดรับแสงอย่างเดียว

SONY DSC

SONY DSC

เปิดรับลมกว้างสุด

SONY DSC

ไฟส่องสว่างและช่องลมเครื่องปรับอากาศ

 

ทำความรู้จักกับ Ford Everest

  • ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ยกระดับมาตรฐานให้ตลาดรถอเนกประสงค์ขนาดกลาง ด้วยความโดดเด่นทั้งด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และการออกแบบที่ชาญฉลาด พร้อมสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ
  • มาพร้อมโครงสร้างแบบบอดี้ออนเฟรม ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ พร้อมระบบ Terrain Management ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคในทุกสถานการณ์ได้อย่างมั่นใจ
  • ช่วงล่างแบบคอยล์สปริงหน้า-หลัง พร้อมวัตต์ลิงค์ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและคล่องอย่างเหนือชั้น
  • ห้องโดยสารแบบ 7 ที่นั่ง กว้างขวาง ดูหรูหรา ทันสมัย และประณีตในทุกรายละเอียด
  • เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการเชื่อมต่อสื่อสารและช่วยเหลือผู้ขับขี่ อาทิ ระบบสั่งงานด้วยเสียงซิงค์ 2 ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ระบบตรวจจับรถในจุดบอด พร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด ซึ่งได้รับการติดตั้งในรถระดับนี้เป็นครั้งแรก ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นหนึ่งในรถยนต์อเนกประสงค์ที่ล้ำสมัยที่สุดในตลาด
  • ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมเบาะนั่งแถวที่ 3 แบบพับเรียบด้วยระบบไฟฟ้า และประตูท้ายรถเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า เป็นครั้งแรกในรถระดับนี้ เพื่อความอเนกประสงค์และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

New Ford Everest_4x4 Off road Mastery_TH New Ford Everest_Exterior design_TH New Ford Everest_Power & Efficiency_TH New Ford Everest_Smart Technology_TH

*คลิกเพื่อดูภาพขยายใหญ่

Ford สร้างนิยามใหม่ให้กับตลาดรถอเนกประสงค์ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ด้วยสมรรถนะการขับขี่อย่างเหนือชั้นทั้งการขับขี่บนทางเรียบและแบบออฟโรด พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ดีไซน์โฉบเฉี่ยวและบึกบึน สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 7 ที่นั่ง

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นรถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูง ให้ความรู้สึกสะดวกสบายแม้ขับขี่ในเมือง หรือบนเส้นทางแบบออฟโรดที่สมบุกสมบัน  ด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกบายอย่างเหนือชั้น ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ได้เกินความคาดหมายจากรถเอสยูวีแบบ 7 ที่นั่งทั่วไปในตลาดกลุ่มเดียวกัน

Ford_Everest_Concept_03hires Ford_Everest_Concept_02_hires

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นผลงานการสร้างสรรค์โดยทีมออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งได้นำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดรถอเนกประสงค์ทั่วโลกของฟอร์ดมาใช้ ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถสานต่อความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ รุ่นปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ทั้งในด้านความทนทานและความอเนกประสงค์ในการใช้งาน ทั้งนี้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ นี้ มีให้เลือกทั้งแบบรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อนสี่ล้อ

ภายใต้รูปลักษณ์ดุดันที่สะท้อนถึงความสมบุกสมบันและเทคโนโลยีล้ำสมัย ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ครบครันทั้งความแข็งแกร่ง พร้อมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมาย มีดีไซน์สวยสะดุดตา ด้วยสมรรถนะเพื่อการขับขี่แบบออฟโรดเต็มรูปแบบ และยังรักษาความเป็นรถยนต์ที่ขับสนุกในสไตล์ฟอร์ดไว้ได้อย่างครบถ้วน ด้วยความคล่องตัวบนท้องถนน พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทั้งหรูหราและสะดวกสบาย

ความชาญฉลาดในการออกแบบเพื่อตอบสนองต่อการใช้งาน

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยวแต่แข็งแกร่ง สื่อถึงสมรรถนะในการขับขี่ที่เหนือชั้นและเทคโนโลยีล้ำสมัยที่อยู่ภายใน ส่วนหน้ารถที่ดูดุดันด้วย ไฟหน้าขนาดใหญ่ พร้อมไฟวิ่งกลางวันแบบแอลอีดี อันเป็นเอกลักษณ์ของฟอร์ดควบคู่กับตัวถังที่ผ่านการทดสอบทางอากาศพลศาสตร์โดยละเอียดทุกขั้นตอน จนเกิดเป็นผลงานการออกแบบที่ผสมผสานความสวยงามและประสิทธิภาพเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

Ford Everest on location 020

Ford Everest on location 019

ห้องโดยสารของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มอบความหรูหราโดดเด่นด้วยวัสดุคุณภาพสูง และเส้นสายรอบคันที่สอดประสานกันอย่างกลมกลืนและลงตัวกับภายในห้องโดยสาร 7 ที่นั่ง ที่ทั้งประณีต นั่งสบาย และใช้งานสะดวกด้วยคุณสมบัติมากมาย ทั้งหลังคาแบบพาโนรามิคมูนรูฟขนาดใหญ่ ประตูท้ายรถเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า ช่องเก็บของกว่า 30 ช่อง ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับเบาะหน้าและเบาะหลัง ที่นั่งและพื้นที่เก็บของที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับทุกการใช้งานได้ โดยเบาะนั่งแถวที่สองและสามสามารถพับเก็บให้แบนราบได้ทั้งสองแถว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานและการบรรทุกสัมภาระได้อย่างลงตัว ซึ่งหลังจากพับเบาะนั่งแถวที่สองและสามแล้ว ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ จะสามารถบรรทุกสัมภาระได้ถึง 2,010 ลิตร*

เพื่อให้ห้องโดยสารปราศจากเสียงรบกวน แรงสั่นสะเทือน และความแข็งกระด้าง (NVH) ฟอร์ดจึงได้ติดตั้งเทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวน ไว้ภายในตัวรถ ทั้งยังพัฒนาซีลกันเสียงและวัสดุดูดซับเสียงภายในห้องโดยสารให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ขุมพลังที่เปี่ยมประสิทธิภาพและประหยัดน้ำมัน

สมรรถนะอันเหนือชั้นของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาจากขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2 รุ่น ในตระกูลดูราทอร์คของฟอร์ดที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด หรือเกียร์ธรรมดา และเทคโนโลยีอันทันสมัย ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันและมอบสมรรถะในการขับขี่ที่เป็นเลิศ

Ford Everest on location 012

  • สำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังและแรงบิดสูงสุดเพื่อใช้ในการลากจูง เครื่องยนต์ดีเซลดูราทอร์ค ทีดีซีไอ วีจี เทอร์โบ ขนาด 2 ลิตร แบบ 5 สูบรุ่นล่าสุด ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 470 นิวตันเมตร มอบประสิทธิภาพเหนือระดับด้วยคุณสมบัติใหม่มากมาย รวมถึงระบบหมุนเวียนไอเสียแบบใหม่เพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
  • สำหรับผู้ที่มองหาเครื่องยนต์ที่ยังคงความประหยัดน้ำมันโดยไม่สูญเสียสมรรถนะการขับขี่ ฟอร์ดพร้อมนำเสนอเครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ วีจี เทอร์โบ ขนาด 2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 385 นิวตันเมตร

Ford Everest on location 006

ระบบเกียร์อัตโนมัติของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ นั้น สามารถจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ใช้งานแต่ละคนได้ โดยระบบสามารถวิเคราะห์ได้จากอัตราการเร่งและลดความเร็ว การใช้เบรคและคันเร่ง และการใช้ความเร็วขณะเข้า เพื่อเลือกเกียร์ที่ถูกต้องเหมาะสมในทุกสถานการณ์ โดยระบบ ยังช่วยให้ผู้ขับขี่มือใหม่สามารถขับรถได้ง่ายดายยิ่งขึ้น และช่วยให้ขับสนุกยิ่งขึ้นสำหรับนักขับมืออาชีพ

ดุลยภาพแห่งสมรรถนะ ความพร้อมลุยแบบออฟโรด และความนุ่มสบายบนท้องถนน

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มีความทนทาน พร้อมฝ่าฟันทุกเส้นทาง ด้วยโครงสร้างแบบบอดี้ออนเฟรม ทำให้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มีตัวถังที่แข็งแกร่ง เหมาะสำหรับการขับขี่แบบสมบุกสมบัน นอกจากนี้ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ ระบบเกียร์แบ่งกำลังพร้อมระบบควบคุมการจ่ายแรงบิด แบบ on Demand ระบบ Terrain Management ความสูงจากพื้นรถ ถึง 225 มิลลิเมตร สูงที่สุดในรถระดับเดียวกัน พร้อมลุยน้ำได้ที่ความลึกสูงสุด 800 มิลลิเมตร ผนวกกับความชันของมุมไต่และมุมจาก ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถเอาชนะทุกอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย

“ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มอบสมรรถนะและความหลากหลายในการใช้งานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนทางราบและแบบออฟโรด” ฟอสตัน กล่าว “ไม่ว่าคุณกำลังขับลุยสายน้ำเชี่ยว ไต่บนเนินทราย ลุยโคลน หรือไต่หินขรุขระ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ สามารถฝ่าฟันทุกเส้นทางด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ทรงประสิทธิภาพ”

ระบบ Terrain Management  ได้รับการออกแบบมาพร้อมกับโหมดตั้งค่าการขับขี่พิเศษสี่แบบ 1. แบบพื้นผิวทั่วไป  2. พื้นหิมะ/โคลน/หญ้า 3. พื้นทราย และ 4. พื้นหินขรุขระ โดยแต่ละโหมดจะปรับเปลี่ยนการตั้งค่า  อัตราเร่ง ระบบส่งกำลัง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ และระบบควบคุมการเกาะถนน เพื่อให้ผู้ขับขี่มั่นใจในทุกสถานการณ์ ในกรณีที่ต้องเผชิญกับเส้นทางออฟโรดสุดหฤโหด ผู้ขับขี่ก็สามารถเลือกปรับโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อที่อัตราทดรอบต่ำ เพื่อการควบคุมรถได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

นอกเหนือไปจากสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรดแล้ว รถยนต์อเนกประสงค์รุ่นนี้ยังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและมอบความคล่องตัวในระดับที่เหนือความคาดหมาย ด้วยช่วงล่างแบบคอยล์สปริงหน้า-หลัง พร้อมวัตต์ลิงค์ที่เพลาหลัง เพื่อมอบความสะดวกสบาย และการเกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยม เหมาะกับสภาพถนนในเมือง ให้ความรู้สึกสนุกในการขับขี่ ซึ่งเป็นดีเอ็นเอของฟอร์ดไว้อย่างเต็มรูปแบบ

เทคโนโลยีล้ำสมัย มอบความสะดวกสบายและปลอดภัยได้อย่างเหนือชั้น

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมาย ที่พร้อมสร้างประสบการณ์การขับขี่อันสุดพิเศษ จนถือเป็นหนึ่งในรถยนต์อเนกประสงค์แบบ 7 ที่นั่ง ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ติดตั้งระบบสั่งงานด้วยเสียง ซิงค์ 2 ซึ่งเป็นระบบเชื่อมต่อการสื่อสารภายในรถรุ่นล่าสุดจากฟอร์ด ผู้ขับขี่จึงสามารถใช้เสียงสั่งการอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง ระบบปรับอากาศ และอุปกรณ์พกพาต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับตัวรถได้อย่างเป็นธรรมชาติและสะดวกสบายยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ ระบบ ซิงค์ 2 ยังมาพร้อมจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ที่ใช้งานง่ายด้วยเมนูควบคุมที่แบ่งจอออกเป็น 4 มุม และใช้สีที่แตกต่างกันบ่งบอกถึงฟังก์ชั่นการใช้งานหลักๆ อย่างชัดเจน พร้อมระบบเพื่อความบันเทิงเต็มรูปแบบด้วยลำโพงคุณภาพสูงถึง 10 ตัวรวมซับวูฟเฟอร์ มอบเสียงที่ชัดเจนพร้อมเสียงเบสทุ้มลึกและหนักแน่น

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีอีกมากมายที่ไม่เคยปรากฏในรถอเนกประสงค์รุ่นใดมาก่อน    ไม่ว่าจะเป็น ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (Blind Spot Information System หรือ BLIS) พร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) ซึ่งจะคอยแจ้งเตือนผู้ขับขี่ในกรณีที่มีรถคันอื่นอยู่ในจุดบอด หรือมีรถตัดผ่านในขณะถอยออกจากซองจอด

เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอื่นๆ ได้แก่ ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll Stability Control) และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) ที่ทำงานสอดประสานกับระบบควบคุมการเกาะถนน เพื่อความมั่นใจสูงสุดขณะขับขี่ ส่วนระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) จะช่วยให้การนำรถเข้าจอดเทียบข้างเป็นเรื่องง่าย โดยที่ผู้ขับขี่จะควบคุมเพียงแค่การเหยียบคันเร่ง เข้าเกียร์ และเบรก     โดยไม่จำเป็นต้องจับพวงมาลัย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการติดตั้งเป็นครั้งแรกในตลาดรถอเนกประสงค์ระดับเดียวกันในประเทศไทย

โดยนอกเหนือจากเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเหล่านี้แล้ว ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ยังช่วยปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคนด้วยโครงสร้างห้องโดยสารที่แข็งแกร่งด้วยวัสดุสุดทนทานอย่างเหล็กโบรอน และอุปกรณ์ความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ ถุงลมนิรภัย 7 จุด เพื่อป้องกันผู้โดยสารในกรณีที่เกิดการชน เป็นต้น

 

จุดเด่นของ Ford Everest

สมรรถนะแกร่งทุกเส้นทาง

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มอบสมรรถนะที่เหนือกว่าทุกความคาดหมาย ผสมผสานความสมบุกสมบันเพื่อการขับขี่ออฟโรดในทุกสภาพพื้นถนนเข้ากับความสะดวกสบายอย่างเหนือชั้นในขณะขับขี่ โดยที่ยังรักษาความเป็นรถยนต์ที่ขับสนุกในสไตล์ฟอร์ดไว้ได้อย่างครบถ้วน ด้วยความคล่องตัวบนท้องถนน จึงพร้อมให้นักขับมืออาชีพได้ขับขี่อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเสริมความมั่นใจให้กับนักขับมือใหม่ได้เป็นอย่างดี

ดีไซน์ช่วงล่าง

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มีระบบช่วงล่างล้อหน้าอิสระแบบคอยล์-โอเวอร์-สตรัท ที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษให้เหมาะกับรูปแบบการขับขี่ ทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำงานโดยอาศัยปัจจัยต่างๆ เช่น น้ำหนักตัวรถ จุดศูนย์ถ่วงรูปแบบการส่งกำลัง และการส่งแรงบิดลงสู่ล้อ เช่นเดียวกับวาล์วแดมเปอร์และสปริง ที่ได้รับการออกแบบขึ้นเพื่อมอบความนุ่มนวลและความแม่นยำสูงสุดในการขับขี่

ช่วงล่างล้อหลังแบบคอยล์สปริงช่วยเสริมความนุ่มสบาย ขณะที่เพลาหลังมีความแข็งแกร่ง เปี่ยมสมรรถนะสำหรับการขับขี่ออฟโรดและงานลากจูง มาพร้อมวัตต์ลิงค์ที่เพิ่มความคล่องตัวและแม่นยำในการควบคุม ช่วยให้ตัวรถมีความสมดุลย์มากยิ่งขึ้นขณะเข้าโค้งและตอบสนองได้รวดเร็ว จึงทำให้การขับขี่สบาย นุ่มนวล ไม่ส่ายหรือกระตุกไปมา ส่วนโช้คหลังซึ่งติดตั้งไว้นอกโครงตัวถัง ช่วยทำให้รถทรงตัวได้ดีและนั่งสบายแม้บนพื้นผิวขรุขระ

วัตต์ลิงค์

แกนช่วงล่างแบบวัตต์ลิงค์ของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้รับการพัฒนาขึ้นมาทดแทนแกนแบบเดิมที่รู้จักกันในชื่อแกนแพนฮาร์ด (Panhard Rod) ถึงแม้ว่าแกนช่วงล่างทั้งสองแบบจะมีหน้าที่รักษาตำแหน่งในแนวนอนของเพลาเหมือนกัน แต่มีวิธีการทำงานและประสิทธิภาพที่แตกต่างกันอยู่ไม่น้อย

Picture1

แกนช่วงล่างแบบแพนฮาร์ดนั้น จะมีเพลาที่ติดตั้งอยู่กับส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวถัง บนก้านโลหะในแนวขวางที่ยาวเต็มความกว้างของตัวรถ เมื่อตัวถังรถเอียงขณะเข้าโค้ง แกนดังกล่าวนี้ก็จะเคลื่อนตามไปด้วย จึงทำให้รถมีลักษณะการขับขี่ที่ไม่สมดุลย์ ซึ่งหากรถเข้าโค้งไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ตัวถังของรถก็จะเอียงหรือบิดไปมากกว่าการเข้าโค้งในทางตรงข้าม ดังนั้น ทีมวิศวกรจะต้องออกแบบรถยนต์ทั้งคันให้เข้ากับความไม่สมมาตรในขณะเข้าโค้งนี้

สำหรับแกนช่วงล่างวัตต์ลิงค์ใน ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่นี้ ช่วยให้เพลาล้อสามารถเคลื่อนตัวขึ้นลงได้โดยแทบจะไม่ต้องมีการเคลื่อนตัวในแนวนอน ทำให้ทีมวิศวกรสามารถเสริมความแม่นยำและคล่องตัวในการขับขี่ให้กับรถได้ดียิ่งขึ้น เพื่อมอบสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่าให้ผู้ขับ

ห้องโดยสารทั้งเงียบและประณีต

วิศวกรของฟอร์ดได้ยกระดับห้องโดยสารของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นทั้งในด้านความเงียบและความสะดวกสบาย ด้วยการออกแบบอันชาญฉลาด การวางตำแหน่งติดตั้งวัสดุซับเสียงอย่างมีหลักการ พร้อมการใช้เทคโนโลยีอันชาญฉลาด เพื่อให้ภายในห้องโดยสารทั้งเงียบและประณีตที่สุด

การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์

ทีมวิศวกรผู้ออกแบบ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ใช้การจำลองการไหลของอากาศ การทดสอบในอุโมงค์ลม และการทดลองขับบนถนนจริงเพื่อปรับแต่งรูปทรงและการออกแบบของรถยนต์รุ่นนี้ให้มีเสียงลมน้อยที่สุด กระจกมองข้างทั้งสองถูกออกแบบให้ช่วยลดเสียงลมได้สูงสุดถึง 10 เดซิเบล ในขณะที่ขับรถโดยเปิดหน้าต่างไว้

ระบบตัดเสียงรบกวน

การขับขี่รถยนต์ที่ความเร็วต่ำแม้จะช่วยให้คุณประหยัดน้ำมัน แต่ก็ทำให้เครื่องยนต์มีเสียงความถี่ต่ำที่ดังรบกวนทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ซึ่งหากไม่มีเทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวนนี้ วิศวกรต้องออกแบบเครื่องยนต์ที่หลีกเลี่ยงการทำงานในรูปแบบดังกล่าว ซึ่งจะทำให้รถประหยัดเชื้อเพลิงได้น้อยลง

เทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวน มีหลักการทำงานที่คล้ายคลึงกับการต้านเสียงรบกวนของหูฟังระดับพรีเมียมโดยจะมีไมโครโฟนความไวสูงสามตัวติดตั้งไว้ภายในวัสดุบุเพดานรถ ไมโครโฟนสองตัวแรกติดตั้งไว้บริเวณเหนือเบาะนั่งแถวหน้า และอีกหนึ่งตัวติดตั้งไว้เหนือเบาะหลัง เพื่อตรวจวัดระดับเสียงจากเครื่องยนต์ ไมโครโฟนทั้งสามตัวนี้จะส่งสัญญาณเสียงที่ได้รับไปยังระบบควบคุมการตัดเสียงรบกวนแบบเรียลไทม์

และเมื่อได้รับสัญญาณเสียงแล้ว ระบบควบคุมในตัวรถจะทำการสังเคราะห์คลื่นเสียงที่ตรงข้ามกันเพื่อหักล้างกับเสียงรบกวนผ่านระบบเครื่องเสียงในตัวรถเพื่อช่วยกลบเสียงเครื่องยนต์ จนสามารถตัดเสียงรบกวนได้ในช่วงย่านความถี่ 30-180 เฮิรตซ์

วัสดุดูดซับเสียง

วัสดุดูดซับเสียงในบริเวณบานประตู หลังคา และรอบๆ ตัวถัง ล้วนมีคุณสมบัติช่วยลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร รวมถึงกระจกหน้ารถแบบซับเสียงที่ติดตั้งในบางรุ่น ล้วนได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยลดเสียงรบกวนได้ดียิ่งขึ้น

ซีลสองชั้น พร้อมบานประตูสุดหนึบ

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ติดตั้งซีลกันเสียงลมถึงสองชั้นที่ขอบประตูทุกบาน และบานประตูที่ได้รับการพัฒนาโครงสร้างให้มีความหนึบกว่าเดิมนี้ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของซีลได้ดียิ่งขึ้น

ระบบส่งกำลัง

ระบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ แบบ 6 สปีดของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มอบความยอดเยี่ยมทั้งด้านสมรรถนะ ประสิทธิภาพ และการควบคุมรถ

เกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีด

เกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีดรุ่นใหม่ ซึ่งคันเกียร์มีลักษณะคล้ายคลึงกับเกียร์ในรถยนต์นั่ง ช่วยให้เข้าเกียร์ได้รวดเร็วและแม่นยำ พร้อมมอบความสนุกในการขับขี่ตามสไตล์รถฟอร์ด เอเวอเรสต์ สมรรถนะการลากจูงโดดเด่นด้วยตัวคลัตช์ที่ทนทาน ทำให้เครื่องยนต์ทั้งสองรุ่นของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถรักษาระดับแรงบิดได้ดี ผู้ขับขี่จึงสามารถเลือกใช้เกียร์ได้เหมาะสมในทุกสถานการณ์ ทั้งในขณะขับขี่แบบลากจูง ออกตัวอย่างรวดเร็วหลังสัญญาณไฟ หรือขณะขับรถทางไกล

นอกจากนี้ แผงหน้าปัดของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ยังแจ้งเตือนจังหวะการเข้าเกียร์เพื่อการขับขี่ที่ช่วยประหยัดน้ำมันกว่าเดิม ส่วนล้อส่งกำลังแบบ dual mass ก็ช่วยให้การเข้าเกียร์ราบรื่นและตอบสนองได้เร็วยิ่งขึ้น

ชุดเกียร์ธรรมดานี้มาพร้อมคุณสมบัติ Crank-in-Gear ที่ทำให้รถสามารถสตาร์ทเครื่องใหม่ได้ในโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อแบบอัตราทดต่ำทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาคลัตช์

เกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด

เกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีดในฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้รับการปรับแต่งในทุกด้านเพื่อการตอบสนองที่รวดเร็วและราบรื่น  ให้ทุกการขับขี่ยอดเยี่ยม ทั้งในเชิงสมรรถนะ การควบคุมรถ และการส่งกำลังขณะลากจูง

เมื่อขับขี่ในโหมดปกติ ชุดเกียร์อัตโนมัตินี้จะเน้นการขับขี่ที่นุ่มนวล นั่งสบาย และประหยัดน้ำมัน แต่เมื่อต้องเรียกใช้พละกำลังจากเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ ผู้ขับขี่ก็สามารถใช้โหมดเปลี่ยนเกียร์แบบธรรมดา สปอร์ต ชิฟท์ เปลี่ยนเกียร์ตามต้องการด้วยการกดปุ่ม เพื่อเพิ่มอัตราเร่งแบบเต็มกำลัง และใช้รับมือกับสัมภาระหนักได้อย่างสบาย

ระบบเกียร์รุ่นนี้ยังมีโหมดการทำงานต่างๆ อีกมากมาย อาทิ โหมดประหยัดน้ำมัน โหมดขับขี่แบบสมรรถนะสูง โหมดสปอร์ต โหมดขึ้นเนิน ลงเนิน โหมดลากจูง โหมดขับเคลื่อนสี่ล้อแบบอัตราทดสูง และโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อแบบอัตราทดต่ำ ซอฟต์แวร์ของชุดเกียร์จะทำงานควบคู่กับระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESP) เพื่อตรวจสอบว่าตัวรถกำลังวิ่งอยู่บนพื้นราบ ขึ้นเนิน หรือลงเนิน ก่อนจะปรับการทำงานของเกียร์ให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆ

ในกรณีการขับขี่แบบลากจูงของหนักที่ความเร็วสูง ระบบเกียร์อัตโนมัติจะช่วยเลือกเกียร์ที่เข้ากับน้ำหนักของสิ่งของที่ลากจูง ซึ่งอาจจะเป็นเกียร์ 4  5 หรือ 6 ก็ได้ และเมื่อเปลี่ยนมาขับขี่ในโหมดขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดต่ำ ระบบก็จะปรับจังหวะการเข้าเกียร์ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทางสุดวิบากที่กำลังเผชิญอยู่

ซอฟต์แวร์ของระบบเกียร์ยังสามารถจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ใช้งานแต่ละคนได้ ก่อนจะปรับรูปแบบการทำงานของระบบเกียร์ให้เข้าผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี โดยระบบจะพิจารณาทั้งอัตราการเร่งและลดความเร็ว การใช้เบรกและคันเร่ง และการใช้ความเร็วขณะเข้าโค้ง เพื่อเลือกเกียร์ที่ถูกต้องเหมาะสมในทุกสถานการณ์ และป้องกันไม่ให้เกิดการเปลี่ยนเกียร์ผิดจังหวะ

ทั้งนี้ ระบบเกียร์จะใช้ฟังก์ชั่นการนับคะแนนจากลักษณะการขับขี่ที่ตรวจพบ เพื่อดูว่าจะต้องเปิดใช้งานคุณสมบัติต่างๆ ในเวลาใด โดยเริ่มจากการขับขี่แบบมาตรฐานที่เน้นความประหยัด (0 คะแนน) ก่อนจะขยับมาเป็นการขับแบบสปอร์ต (100 คะแนน) และการขับอย่างมืออาชีพ (200 คะแนน)

เมื่อระบบตรวจพบการเร่งความเร็วอย่างรวดเร็วหรือการเข้าโค้งที่ความเร็วสูง ซอฟต์แวร์ของระบบเกียร์จะเพิ่มคะแนนให้ตรงกับลักษณะการขับขี่แบบประสิทธิภาพสูง ก่อนจะปรับลดคะแนนเมื่อผู้ขับขี่ชะลอความเร็วลง

คุณสมบัติการปรับเปลี่ยนระบบเกียร์ตามการขับขี่นี้ จะช่วยให้รถมีสมรรถนะการขับขี่และการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังอีกด้วย

ขุมพลังที่เปี่ยมประสิทธิภาพ

ฟอร์ด   เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันและมอบสมรรถะในการขับขี่ที่เป็นเลิศ ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์อันล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 5 สูบ ขนาด 3.2 ลิตร ที่พร้อมรับมือกับงานลากจูงและเส้นทางออฟโรดสุดโหด หรือเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบ ขนาด 2.2 ลิตร ที่ให้ความประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม

ระบบเทอร์โบแปรผัน Variable Geometry Turbocharger (VGT)

ระบบเทอร์โบแปรผัน หรือ วีจี เทอร์โบ (VGT) ช่วยเพิ่มพละกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ด้วยการควบคุมมุมใบพัดภายในตัวเทอร์โบด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งการปรับมุมใบพัดแบบหลากหลายนี้จะทำให้เทอร์โบสามารถควบคุมแรงดันการเร่งได้อย่างแม่นยำมากขึ้น จึงทำให้เครื่องยนต์มีแรงบิดสูงในช่วงรอบต่ำ และยังสามารถประหยัดน้ำมันได้อย่างดีเยี่ยม

ตัวกรองอนุภาคน้ำมันดีเซลพร้อมระบบไอระเหย Coated Vaporized Diesel Particulate Filter (cDPF) with Vaporizer

ตัวกรองอนุภาคน้ำมันดีเซลหรือ cDPF พร้อมระบบไอระเหยนี้ช่วยให้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มีระดับการปล่อยอนุภาคไอเสียตรงตามมาตรฐานยูโร 5 โดยระบบดังกล่าวจะใช้ความร้อนเพื่อทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงจำนวนหนึ่งระเหยเป็นไอ และปล่อยเข้าสู่ระบบท่อไอเสียเพื่อรวมกับก๊าซไอเสียต่างๆ จากนั้น ระบบไอระเหยจะจุดระเบิดเพิ่มความร้อนของไอนี้ให้มีอุณหภูมิสูงถึง 600 องศาเซลเซียส ขณะที่ก๊าซเสียเคลื่อนผ่านชุดกรอง cDPF เพื่อกำจัดอนุภาคไอเสียออกไปได้ด้วยความร้อน

ระบบหมุนเวียนก๊าซไอเสีย

ระบบหมุนเวียนก๊าซไอเสีย หรือ EGR รุ่นใหม่ ในฟอร์ด เอเวอเรสต์ สามารถทำความเย็นกับก๊าซไอเสียได้ดียิ่งขึ้น โดยอาศัยชุดวาล์วเพียร์เบิร์ก (Pierberg) และท่อไอดีแบบใหม่ที่มีลิ้นปีกผีเสื้อ (throttle body) ติดตั้งอยู่ตรงกลาง ช่วยทำให้เครื่องยนต์สามารถส่งไอดีและไอเสียไปยังแต่ละกระบอกสูบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มการควบคุมระดับการไหลของก๊าซ และสามารถลดปริมาณก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ที่ปล่อยออกสู่ภายนอกลงได้เช่นกัน

หัวฉีดไดเรค อินเจคชั่นความดันสูง

ระบบหัวฉีดน้ำมันในเครื่องยนต์ดูราทอร์ครุ่นล่าสุดทำงานที่ความดัน 1,800 บาร์ ทั้งยังมาพร้อมกับมุมโคนหัวฉีดที่ปรับเปลี่ยนใหม่ ช่องฉีดเชื้อเพลิงที่มากขึ้น และอัตราการไหลของเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ส่วนหัวฉีดแบบเพียโซ (piezo) ก็ช่วยเสริมความแม่นยำในการฉีดเชื้อเพลิงเข้าสู่เครื่องยนต์ จึงทำให้การเผาไหม้เชื้อเพลิงเป็นไปอย่างสะอาดและสมบูรณ์ เพิ่มทั้งพละกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ ทั้งยังช่วยลดอัตราการใช้น้ำมันและปริมาณก๊าซไอเสียลงอีกด้วย ระบบหัวฉีดของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ นี้ได้รับการปรับแต่งในทุกรายละเอียดเพื่อให้สามารถเผาไหม้เชื้อเพลิงได้อย่างราบรื่น เครื่องยนต์จึงเดินเรียบ ไม่มีสะดุด มอบประสิทธิภาพสูงสุด

ปั๊มเชื้อเพลิงแบบ Variable Flow

ปัมเชื้อเพลิงรุ่นนี้จะช่วยจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงมาใช้เท่าที่จำเป็น ทำงานในเวลาที่สั้นลงใช้พลังงานน้อยลง และช่วยประหยัดน้ำมันมากขึ้น ระบบการไหลเวียนของเชื้อเพลิงในตัวรถด้รับการปรับจูนใหม่ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้ราบรื่นกว่าเดิม

เทคโนโลยีการขับขี่แบบออฟโรด

ระบบเกียร์แบ่งกำลังพร้อมระบบควบคุมการจ่ายแรงบิดแบบ on Demand ระบบ Terrain Management System และเฟืองท้ายแบบ Electronic Locking Rear Differential ใน ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ทำงานประสานกันเป็นอย่างดีเพื่อมอบสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรดที่ยอดเยี่ยม ทำให้ตัวรถยังสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้ แม้ขณะที่ล้อหน้าทั้งสองและล้อหลังข้างหนึ่งอยู่บนพื้นน้ำแข็งที่เรียบลื่น ตราบที่ล้อหลังอีกล้อยังยึดอยู่บนพื้นผิวนั้น

ระบบเกียร์แบ่งกำลัง (Active Transfer Case)

ระบบเกียร์แบ่งกำลังอลูมิเนียมแบบสองสปีด ติดตั้งด้านซ้าย เยื้องศูนย์เดี่ยว (left hand drop / single offset)

  • ทำงานแบบขับเคลื่อนสี่ล้อได้สองสปีด
    • อัตราทดสูง 1:1
    • อัตราทดต่ำ 48:1
  • ควบคุมด้วยสวิทช์เพียงตัวเดียว
  • อัตราแรงบิดหน้า-หลังแบบตายตัวในโหมดขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดต่ำ
  • หน้าแปลนล็อกเพื่อส่งกำลังสู่ล้อทั้งสี่
  • หล่อลื่นภายในด้วยปั๊มโรตารี
  • มอบสมรรถนะการเกาะถนนที่ดีเยี่ยม

เฟืองท้ายแบบ Electronic Locking Rear Differential

ผู้ขับขี่สามารถสั่งล็อคเฟืองท้ายได้ด้วยตนเองเพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนแบบสูงสุด ในกรณีที่สั่งล็อคแล้ว แม้ว่าล้อใดล้อหนึ่งจะไม่ได้สัมผัสกับพื้นผิวการขับขี่ ล้อที่เหลืออยู่จะยังได้รับแรงบิดจากเพลาอย่างเต็มที่ ทำให้สามารถขับเคลื่อนรถต่อไปได้ และหากใช้คู่กับระบบ Terrain Management System ผู้ขับขี่จะสามารถล็อคเฟืองท้ายของรถได้ในระยะความเร็วที่สูงขึ้นอีกด้วย

ระบบ Terrain Management System (TMS)

โหมดตั้งค่าการขับขี่ทั้งสี่รูปแบบ ช่วยให้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มีสมรรถนะสูงสุดในทุกสภาพการขับขี่ โดยแต่ละโหมดจะปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ระบบส่งกำลัง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และความไวของคันเร่ง

  ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ระบบส่งกำลัง เบรกและระบบป้องกันล้อหมุนฟรี คันเร่ง
พื้นผิวทั่วไป ปรับแต่งให้เหมาะสมกับการขับขี่บนท้องถนน ด้วยอัตราส่วนแรงบิดล้อหลังและล้อหน้าที่ 60-40 โดยจะปรับระดับแรงบิดที่ส่งไปยังล้อหน้าให้เหมาะกับการหักเลี้ยวและการเร่งความเร็ว และลดการลื่นไถลให้น้อยที่สุด ทำงานแบบปกติ ทำงานแบบปกติ ทำงานแบบปกติ
หิมะ / โคลน / หญ้า เพิ่มแรงบิดเพื่อเสริมการควบคุมรถบนพื้นผิวลื่น เปลี่ยนเกียร์สูงให้เร็วขึ้น และปรับลดเกียร์ต่ำให้ช้าลง เพื่อให้รอบเครื่องต่ำ ควบคุมง่าย เพิ่มการยึดเกาะถนน ลดการลื่นไถล ลดความไวคันเร่งลงเพื่อควบคุมความเร็วที่แม่นยำมากขึ้น
ทราย เพิ่มแรงบิดสูง และสามารถล็อคเฟืองท้ายที่ความเร็วสูงกว่าโหมดอื่นๆ ปรับการเปลี่ยนเกียร์สูง-ต่ำให้ช้าลง ป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนเกียร์หากไม่ได้เหยียบคันเร่ง และจะปรับลดเกียร์อย่างรวดเร็วเมื่อแตะเบรก เพื่อรักษาสมดุลของตัวรถ ปล่อยให้ล้อรถลื่นไถลได้มากขึ้น เพื่อให้รถสามารถรักษาสมดุลและขับเคลื่อนต่อไปได้ เพิ่มความไวคันเร่ง เพื่อให้เครื่องยนต์ตอบสนองได้เร็วต่อทุกสัมผัส
หิน เพิ่มแรงบิดสูงสุดสำหรับพื้นผิวการขับขี่แบบวิบาก ให้ ใช้งานได้ในโหมดอัตราทดต่ำเท่านั้น ป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนเกียร์สูง และจะปรับเกียร์ลงเป็นเกียร์ 1 แทน เพื่อการควบคุมรถอย่างแม่นยำบนพื้นผิวขรุขระ ลดการลื่นไถลของล้อด้วยประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้รถเกาะถนน ลดความไวคันเร่งลงเพื่อการควบคุมความเร็วที่แม่นยำมากขึ้น
อัตราทดเกียร์ต่ำ เพิ่มแรงบิดสูงสุดสำหรับพื้นผิวการขับขี่แบบวิบาก ปรับการเปลี่ยนเกียร์สูง-ต่ำให้ช้าลง เพื่อรักษาการควบคุมรถบนพื้นผิวออฟโรด และป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนเกียร์สูงหากไม่ได้เหยียบคันเร่ง และจะเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำอย่างรวดเร็วเมื่อเหยียบเบรก ลดการลื่นไถลของล้อด้วยประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้รถเกาะถนน ลดความไวคันเร่งลงเพื่อให้ควบคุมความเร็วได้แม่นยำมากขึ้น

ผู้ขับขี่จะสามารถเปลี่ยนโหมดจากอัตราทดสูงเป็นอัตราทดต่ำได้เมื่อรถหยุดนิ่งเท่านั้น โดยโหมดอัตราทดต่ำจะมอบการควบคุมรถแบบแม่นยำสูงสุดที่ความเร็วต่ำไม่เกิน 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

เส้นทางทดสอบขับ Ford Everest

ฟอร์ด ประเทศไทย จัดทริปนำคณะสื่อมวลชนร่วมสัมผัสประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นครั้งแรก ณ จังหวัดเชียงราย

Activity life style media 013 Activity life style media 015

ในวันแรกของการเดินทาง ฟอร์ด นำสื่อมวลชนมุ่งหน้าสู่ไร่บุญรอด เพื่อรับประทานอาหารกลางวันท่ามกลางไร่ชาที่รายล้อมด้วยทะเลสาบ ซึ่งไร่บุญรอดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีพื้นที่สำหรับปลูกชาอู่หลงและพืชพรรณอื่นๆ กว่า 600 ไร่

Activity life style media 008 Activity life style media 005

จากนั้น จึงออกเดินทางสู่วัดร่องขุ่น เพื่อแวะชมศาสนสถานสำคัญประจำจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นผลงานการออกแบบและก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ซึ่งคณะสื่อมวลชนได้มีโอกาสร่วมชื่นชมสถาปัตยกรรมและศิลปะไทยสมัยใหม่ที่เน้นการตกแต่งด้วยโทนสีขาวบริสุทธิ์สลับกับสีทองอร่าม พร้อมการประดับด้วยกระจกขาวจับประกายระยิบระยับจากทุกบริเวณโดยรอบ จากนั้น ฟอร์ดได้พาสื่อมวลชนเดินทางสู่ร้านชีวิตธรรมดา ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำกก เพื่อรับประทานอาหารว่างและจิบกาแฟท่ามกลางสวนสีเขียวและบรรยากาศตกแต่งสไตล์อังกฤษ

SONY DSC

หลังจากนั้นจึงเดินทางเข้าพักผ่อนที่ เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท โดยฟอร์ดได้จัดอาหารค่ำต้อนรับคณะสื่อมวลชน ณ ห้องอาหารอิตาเลี่ยน ฟาโวลา ริมแม่น้ำกก ก่อนพาเที่ยวชมตลาดเชียงรายไนท์บาร์ซาร์ เพื่อชมและเลือกซื้อสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน

SONY DSC

ในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ถึงเวลาทดสอบสมรรถนะของรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ บนระยะทางไป-กลับเฉียดร้อยกิโลเมตร โดยเริ่มออกเดินทางจากที่พัก ผ่านเส้นทางในพื้นที่ชนบทตำบลดอยฮาง  พักรับประทานอาหารกลางวันที่ คะเนรี่ เนเชอรัล รีสอร์ท ก่อนออกเดินทางตามเส้นทางบนเนินเขามุ่งหน้าสู่หมู่บ้านชาวเขาเผ่าอาข่า เพื่อชมการแสดง “หล่า เฉ่อ บี่ เออ” ประเพณีโล้ชิงช้าของชาวเขาเผ่าอาข่า ซึ่งเป็นประเพณีรื่นเริง เพื่อรำลึกถึงพระคุณแห่งเทพธิดา “อึ่มซาแยะ” ผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ให้กับพืชพันธุ์ธัญญาหาร

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

โดยตลอดเส้นทางบนภูเขาอันคดเคี้ยวนี้ พิสูจน์สมรรถนะอันเหนือชั้นสำหรับการขับขี่แบบออฟโรด และสัมผัสสุดยอดเทคโนโลยีอันล้ำสมัยต่างๆ ที่ได้รับการติดตั้งในฟอร์ดเอเวอเรสต์ ใหม่ ได้แก่ ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า หรือ ระบบ Electric Power-Assisted Steering (EPAS) โดยระบบพวงมาลัยไฟฟ้าดังกล่าวนี้ จะปรับให้พวงมาลัยมีน้ำหนักเบาในขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำ เช่น กรณีเข้าจอด และในขณะเดียวกัน ก็สามารถปรับเน้นความแม่นยำเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูง จึงช่วงลดความวิตกกังวลให้แก่ผู้ขับขี่ทุกครั้งที่ต้องบังคับพวงมาลัยแม้ในสถานการณ์การขับขี่ที่ยากลำบาก

SONY DSC

SONY DSC

SONY DSC

ระบบ Terrain Management ที่มาพร้อมกับโหมดการตั้งค่าการ ขับขี่พิเศษที่สามารถปรับเปลี่ยนการตั้งอัตราเร่ง ระบบส่งกำลัง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และระบบควบคุมการเกาะถนน เพื่อเพิ่มความมั่นใจระหว่างการขับขี่ในทุกสถานการณ์  ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ 1) บนพื้นผิวถนนทั่วไป 2) บนพื้นหิมะ/ โคลน/ หญ้า 3) บนพื้นทราย และ 4) บนพื้นหินขรุขระ  หรืออย่างเส้นทางออฟโรดสมบุกสมบันในครั้งนี้ ที่มีทั้งการขับลุยข้ามลำธาร ทางหินกรวด ขึ้นเขา ลุยโคลน ลุยทุกพื้นผิว สื่อมวลชนสามารถเลือกปรับโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อที่อัตราทดรอบต่ำ เพื่อการควบคุมรถที่แม่นยำยิ่งขึ้นได้อีกด้วย

Ford Everest drive 042

Ford Everest drive 019 Ford Everest drive 018 Ford Everest drive 006 Ford Everest drive 007 Ford Everest drive 008 Ford Everest drive 010

หลังจากที่ทดสอบสมรรถนะการขับขี่บนเส้นทางแบบออฟโรดแล้ว จึงเดินทางกลับสู่ตัวเมืองจังหวัดเชียงราย เพื่อทดสอบสมรรถนะการขับขี่บนถนนในเมืองที่เป็นทางเรียบ ซึ่งฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยต่างๆ มากมาย เพื่ออำนวยความสะดวกและความมั่นใจในระหว่างการขับขี่สูงสุด โดยมาพร้อมกับ ระบบตรวจจับรถในจุดบอด หรือ ระบบ Blind Spot Information (BLIS) พร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) ซึ่งจะคอยแจ้งเตือนผู้ขับขี่ในกรณีที่มีรถคันอื่นอยู่ในจุดบอดหรือเมื่อมีรถตัดผ่านในขณะถอยออกจากซองจอด นอกจากนี้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ นี้ ยังมาพร้อม ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) เพื่อให้การนำรถเข้าจอดเทียบข้างเป็นเรื่องง่าย โดยที่ผู้ขับขี่ควบคุมเพียงแค่การเหยียบคันเร่ง เข้าเกียร์ และเบรก โดยไม่จำเป็นต้องจับพวงมาลัย จึงช่วยลดความวิตกกังวลแก่ผู้ขับขี่มือใหม่เมื่อต้องถอยจอดในบริเวณที่แคบต่างๆ ในเมือง

Ford Everest drive 004

และปิดท้ายกิจกรรมในครั้งนี้ ด้วยมื้ออาหารค่ำที่ร้านอาหารหลู้ลำ ร้านอาหารพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของเชียงราย ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 30 ปี เมื่ออิ่มท้องแล้วจึงเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

 

บทสรุปและความประทับใจใน Ford Everest

New Ford Everest-Bridge

  • ดีไซน์ภายนอก ถูกใจตั้งแต่แรกเห็น  ดูแกร่ง ใหญ่ ดุดัน พร้อมลุยไปได้ทุกที่ทุกเส้นทาง ลุยน้ำได้ดี  ใครที่ชื่นชอบดีไซน์ของ Ford Ranger อยู่แล้ว ก็คงจะชอบ Ford Everest ด้วยเช่นกัน เหมาะสมทั้งใช้งานออนโรดในเมืองและออฟโรดในทริปขึ้นเขาลงห้วย  เมื่อเทียบ Ford Everst กับคู่แข่งอย่าง Toyota Fortuner ก็ถือว่าสวยคนละแบบ สวยพอ ๆ กันทั้งสไตล์อเมริกันและญี่ปุ่น

SONY DSC

  • ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรงบังคับล้อแบบไฟฟ้าหรือ ระบบ  Electronic Power Assisted Steering (EPAS) เป็นสิ่งแรกที่ประทับใจมากตั้งแต่เริ่มออกตัวครั้งแรกจากที่พัก  เป็นสิ่งที่ฟอร์ดภูมิใจนำเสนออย่างยิ่ง  ซึ่งเคยมีแต่ในรถยนต์ราคาแพงหลายล้านบาท ถูกนำมาติดตั้งในฟอร์ดคันนี้  เชื่อมั่นว่าสาว ๆ จะชื่นชอบ เพราะในขณะที่รถจอดนิ่งหรือเคลื่อนตัวช้า ๆ เช่น เลี้ยวออกจากซอย หรือถอยจอด พวงมาลัยเบามาก หมุนเบา ๆ แบบไม่เหนื่อย แต่เมื่อออกตัวทำความเร็วสูงขึ้น น้ำหนักพวงมาลัยจะเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่เหมาะสมลงตัวที่สุด  สรุปว่าน้ำหนักพวงมาลัยออกแบบมาได้ยอดเยี่ยมที่สุดในทุกอัตราความเร็วของรถที่เคลื่อนที่ไป

SONY DSC

  • ระบบช่วงล่างซับแรงสะเทือนได้ยอดเยี่ยม  ตลอดเส้นทางที่ทดสอบทั้งบนถนนทางหลักและเส้นทางสุดโหด เราได้พยายามทดสอบด้วยการขับให้รถวิ่งผ่านหลุมที่ไหล่ทาง ผิวถนนที่ชำรุด รวมทั้งลูกระนาด  แต่ประทับใจมากยิ่งกว่า PPV หลายรุ่นในตลาดที่ได้ทดสอบขับก่อนหน้านี้  เพราะรถนิ่งมาก ซับแรงสะเทือนดีเยี่ยม นิ่ง-นุ่ม-แน่น เป็นสามคำที่ต้องยกให้กับ Everest  ได้อารมณ์เหมือนขับรถเก๋งหรูหลายล้านบาท ไม่มีอาการสะเทือนหรือสะท้อนความกระด้างจากถนนขรุขระให้เห็นเลย ผิดกับรถกระบะหรือ PPV ทั่วไปอย่างชัดเจน

SONY DSC

  • เสถียรภาพการทรงตัวที่ดี มีระบบช่วยควบคุม ลดแรงบิดของเครื่องยนต์ ช่วยเบรกแต่ละล้ออิสระ ในช่วงเวลาที่ขับแบบออฟโรด มีโหมดอัจฉริยะช่วยในการขับเคลื่อน ผ่านทุกอุปสรรคไปได้ง่าย ๆ แม้ว่ามีบางล้อที่ไม่ได้สัมผัสกับพื้นถนนหรือกำลังเจอปัญหา  ระบบก็ส่งกำลังไปยังล้ออื่นที่เหลืออยู่  ในขณะขับบนทางหลวงที่มีโค้งซิกแซกมากมายหรือเลี้ยวหักศอก  รถก็ยังทรงตัวได้ดีมากแม้ขับมาด้วยความเร็วสูง เกาะถนนดีเยี่ยม ไม่มีอาการหลุดโค้งหรือเป๋ไปทิศทางใด ๆ

SONY DSC

  • ในรุ่น 2.2L ไม่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ  แต่ก็ทรงตัวได้ดีเยี่ยมบนทางหลวง ขับสนุก เกาะถนนดีเครื่องยนต์เงียบมาก ห้องโดยสารเงียบ แรงบิดสูง แซงได้ทันใจ  หากใครที่ไม่เน้นการขับแบบออฟโรด ในรุ่น 2.2L Titanium ก็เพียงพอแล้ว ไม่อืดอย่างที่คิดไว้ตอนแรก แรงเกินตัวจนน่าตกใจ และยังประหยัดน้ำมันอีกด้วย

SONY DSC

  • ทดสอบการเล่นเพลงแนว EDM และ Pop สนุก ๆ ที่คุ้นเคยกันดีกับเครื่องเสียงของ Ford Everest  ต้องตะลึงกับเสียงที่ได้ยิน ลำโพง 10 ตัวรอบคัน มี Subwoofer อยู่ที่ท้ายรถ ให้เสียงเบสที่ลึก แน่น แรงสะใจวัยรุ่นจริง ๆ กำลังขับของภาคขยายเสียง บอกได้เลยว่าเหลือเฟือ มิติเสียงดี ฟังสนุก เหมาะกับเพลงทุกแนว ย่านเสียงทุ้ม กลาง แหลม มาครบ ฟังสบาย  สั่งงานด้วยเสียงได้ด้วย โดยไม่ต้องใช้สำเนียงภาษาอังกฤษที่เป๊ะมากนัก  SYNC 2.0 พัฒนาใหม่ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น  เสียดายที่ไม่มีเวลาทดลองลูกเล่นอื่น ๆ ของ SYNC 2.0 เพิ่มเติม

Ford Everest on location 021 Ford Everest on location 022

  • ห้องโดยสารกว้าง นั่งสบาย ขับทั้งวันชิลๆได้เลย รับรองเมื่อยน้อยกว่าคู่แข่งแน่นอน ผู้โดยสารก็เช่นกัน ห้องโดยสารหรูหราสะอาดตา มีช่องลมจากเครื่องปรับอากาศ เป่าทั่วถึงเย็นเร็วทันใจทั้ง 7 ที่นั่ง  ปรับความเย็นได้อิสระ พร้อมช่องเสียบ Car Charger ทั่วทุกตำแหน่ง ชาร์จสมาร์ทโฟนได้สะดวก ไม่ต้องถือ Power Bank ขณะเล่น Social ในรถ  การเข้าออกในแต่ละที่นั่ง ก็สะดวกดี

SONY DSC

  • เบาะแถวหลังสุดพับด้วยไฟฟ้า เบาะแถวกลางก็พับลงได้ง่าย ใส่สัมภาระชิ้นใหญ่ได้สบาย กว้างและลึกแค่ไหน ลองดูจากเพื่อนสื่อมวลชนจาก Kapook.com เข้าไปนอนยังได้  ขาช้อปที่ชอบเที่ยวแล้วซื้อของเยอะ ๆ รับรองว่า Everest ตอบโจทย์ได้แน่นอน พื้นที่วางสัมภาระมากถึง 2010 ลิตร

SONY DSC

  • ระบบล็อกเฟืองท้ายแบบไฟฟ้าป้องกันการลื่นไถลของล้อหลังได้จริงเมื่อขับแบบออฟโรด  ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา ที่ช่วยให้ปลอดภัย แค่บังคับพวงมาลัยอย่างเดียว ไม่ต้องเหยียบคันเร่งหรือเบรกเลย รถก็จะขับเคลื่อนที่ช้า ๆ ลงเขาเองอย่างปลอดภัย

Ford Everest drive 017

  • สมัยนี้น้ำท่วมบ่อยก็ไม่กลัว เพราะ Ford Everest ลุยน้ำลึกได้ถึง 0.8 เมตร  น้ำท่วมเสมอล้ออย่างในภาพ ก็ลุยได้แน่นอน บวกกับระบบขับเคลื่อนที่ดีเยี่ยม ด้วยการขับทดสอบลุยน้ำในลำธารมาแล้ว ใต้พื้นน้ำเป็นลูกหินทั้งนั้น แต่รถก็ผ่านมาได้สบาย ๆ  เรื่องขับลุยน้ำ ต้องยกให้ฟอร์ด ทั้ง EcoSport, Ranger, Everest ก็ผ่านได้แบบไม่มีปัญหา

SONY DSC

  • เป็นแนวคิดที่ดีที่มีจอแสดงผลสองฝั่ง สั่งงานด้วยปุ่มบนพวงมาลัยแยกสองฝั่งเช่นกัน ทำให้ไม่สับสน  ดูข้อมูลได้ไม่ต้องละสายตาจากถนน  และที่ถูกใจอีกอย่าง คือมี Sensor ทำงานตลอดเวลา ช่วยเตือนเมื่อมีรถคันอยู่ใกล้มากเกินไป ทั้งข้างหน้าและด้านข้างเยื้องไปข้างหลัง  ช่วยลดอุบัติเหตุจากการแซงในบางจุดที่เรามองไม่เห็นว่ามีรถคันอื่นอยู่ในระยะใกล้ หรือมองไม่เห็นจากกระจกมองหลัง

 

เปรียบเทียบกับรถ PPV จากคู่แข่ง

  • Toyota Fortuner โดดเด่นที่ดีไซน์ภายนอก สปอร์ตโฉบเฉี่ยว ไฟหน้าและไฟท้ายสวยงามแหลมคม ดูทันสมัย ศูนย์บริการที่ทุกคนไว้วางใจ  แต่ยังด้อยกว่าฟอร์ดอย่างชัดเจนในหลายด้าน เช่น เสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามาในห้องโดยสาร  เสียงรบกวนภายนอกจากยังเข้ามาได้ค่อนข้างมาก ระบบเครื่องเสียงและเทคโนโลยีล้ำสมัยในด้านความบันเทิงและระบบอัจฉริยะช่วยขับเคลื่อนในแบบออฟโรด  ยังห่างชั้นกับ Ford Everest อย่างมาก ถ้าได้ลองขับเปรียบเทียบกัน จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนมาก และราคาก็แพงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งทั้งหมด
  • Mitsubishi Pajero Sport กระแสตอบรับที่มาแรงอย่างมากจากการเปิดตัวสู่สาธารณชนในงาน BIG Motor Sale 2015  ผู้คนสนใจอย่างล้นหลาม ด้วยดีไซน์ที่สวยล้ำ เบาะนั่งแถวสองสามารถพับยกขึ้นได้ เข้าออกไปยังเบาะนั่งแถวสามได้อย่างสะดวก  เบาะแถวสามก็กว้างและนั่งสบายกว่าคู่แข่ง  ราคาเปิดตัวเพียง 1,138,000 – 1,450,000 บาท บวกกับดีไซน์ที่ทันสมัย ทำให้หลายคนถูกใจอย่างมาก เริ่มส่งมอบลูกค้าช้าหน่อย ประมาณไตรมาส 4/2558 เป็นต้นไป
  • Nissan ยังไม่มี PPV ในตลาด แต่คาดว่าในปี 2016 จะส่ง PPV ลงตลาด โดยพัฒนาต่อยอดจาก NP300 Navara  เน้นห้องโดยสารที่หรูหราคล้าย Teana ผสมกับ X-Trail ต้องติดตามกันต่อไป
  • Isuzu MU-X กับ Chevrolet Trailblazer คู่แฝดที่คล้ายกันอย่างมากเพราะใช้โครงสร้างหลักร่วมกัน  มีสมรรถนะการขับแบบออฟโรดที่ดีเช่นกัน  ถูกใจขาลุย นักท่องเที่ยวธรรมชาติ  แต่สไตล์การขับขี่ยังให้ความรู้สึกเหมือนรถกระบะยกสูง  ห้องโดยสารมีเสียงดังมาก ช่วงล่างที่กระด้าง แรงสะเทือนเยอะมาก ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบความนุ่มนวล

ข้อสังเกต

Ford Everest เป็นรถที่ดีมาก เหนือชั้นกว่า PPV ทุกรุ่นในตลาด (จากการทดสอบในเดือนกรกฎาคม 2558  ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีการเผยโฉม Mitsubishi Pajero Sport ใหม่)  ฟอร์ดออกแบบได้สวยงามลงตัวไม่แพ้ Toyota Fortuner  แต่ในการตัดสินใจเลือกซื้อ ก็ต้องคำนึงเรื่องการบริการและงานซ่อมของศูนย์บริการ  เพราะฟอร์ดประเทศไทยยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนไทยได้  ทุกคนต้องการซื้อรถเพื่อนำไปใช้งานทุกวันอย่างสบายใจ ไม่มีปัญหาจุกจิก ไม่ต้องซ่อมบ่อย  ฟอร์ดทำรถออกมาได้ดีอยู่แล้ว แต่เสียดายที่บริการหลังการขายในไทยยังไม่ดีพอ  ซึ่งปีนี้ฟอร์ดประเทศไทย ได้มีการปรับปรุงศูนย์บริการให้ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว สังเกตได้ถึงเสียงบ่นจะน้อยลงกว่าแต่ก่อน

ข้อสังเกตอีกอย่างก็คือ อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันในขณะขับแบบออฟโรดบนเส้นทางสุดโหดอย่างที่ทดสอบกันสลับกับออนโรดบนทางหลวง  ข้อมูลบนจอแสดงอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 7 km/L  ถ้าขับแบบออนโรดอย่างเดียว เน้นใช้งานในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ก็คาดว่าอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 7-11 km/L ตามลักษณะการขับขี่  แต่จากที่คุยกับคณะสื่อมวลชน พบว่าผู้ใช้รถ SUV / PPV ไม่ได้เน้นเรื่องอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่แล้ว เน้นไปที่ระบบการชับขี่ 4WD มากกว่า  และปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลก็มีแนวโน้มลดต่ำลงเรื่อย ๆ

สำหรับอัตราสิ้นเปลืองที่แสดงบนจอภาพที่ระบุ 7 km/L นั้น หมายถึงตลอดทั้งทริปของการทดสอบโดยคณะสื่อมวลชนทั้งวัน รวมระยะทางประมาณเกือบร้อยกิโลเมตร  หากแบ่งตามช่วงเวลาที่มีการใช้รถยนต์ทดสอบ ประกอบด้วยการขับออนโรดบนทางหลวงพื้นราบ 15%  ขับออนโรดขึ้นเขาลงห้วยกับติดเครื่องจอดรอเฉย ๆ รวมกัน 85% เพราะอยู่บนเส้นทางบนภูเขาเป็นส่วนใหญ่นานหลายชั่วโมง  แต่ทั้งหมดเป็นการทดสอบให้เห็นสมรรถนะแบบครบถ้วน ทดสอบทุกฟังก์ชันของระบบช่วยขับเคลื่อนผ่านอุปสรรคในแต่ละเส้นทาง  สำหรับลูกค้าทั่วไปก็คงซื้อ Ford Everest มาใช้งานปกติ  สัดส่วนการวิ่งบนพื้นราบต้องมากกว่าขึ้นเขาอยู่แล้ว อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ยก็จะได้ตัวเลขที่ดีกว่านั้น

อย่างไรก็ตาม ฝากผู้อ่านที่สนใจลองไป Test Drive ที่ศูนย์บริการ เพื่อพิสูจน์ด้วยตนเองว่าสมรรถนะและเทคโนโลยีที่ให้มาถือว่าคุ้มค่าจริง ๆ ครับ ^__^

โฉมใหม่!!! เว็บไซต์ e-TOYOTACLUB.com สังคมออนไลน์สำหรับคนรักรถโตโยต้า

$
0
0

โฉมใหม่!!! เว็บไซต์ e-TOYOTACLUB.com สังคมออนไลน์สำหรับคนรักรถโตโยต้า

e-TOYOTACLUB

e-TOYOTACLUB.com เปิดตัวเว็บไซต์โฉมใหม่!!! ด้วยกราฟิกดีไซน์สวยงาม ใช้งานง่าย พร้อมฟังก์ชันที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้รถ สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้แล้ววันนี้ ผ่านทางมือถือสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และ PC อีกทั้งได้รวบรวมความสนุกไว้มากมายทั้งกิจกรรมออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อรองรับสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับคนรักรถโตโยต้า

สุปรียา ไม้มณี รองผู้อำนวยการ ฝ่ายพัฒนาลูกค้าสัมพันธ์และส่งเสริมกิจกรรมไคเซ็น    บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการดำเนินชีวิต           ของผู้ใช้รถในปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ในฐานะเว็บไซต์สังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับคนรักรถโตโยต้าที่ให้บริการมากว่า 10 ปี e-TOYOTACLUB จึงได้มีการปรับโฉมใหม่ให้ทันสมัยขึ้น ตอบโจทย์การเป็นเว็บไซต์คอมมิวนิตี้ เพื่อผู้ใช้รถที่สมบูรณ์แบบอันดับหนึ่งของไทย         โดยในเว็บไซต์ใหม่นี้ได้รวบรวมฟังก์ชันที่จำเป็นพื้นฐานสำหรับผู้ใช้รถยนต์อย่างครบถ้วน

นอกจากนี้ทาง e-TOYOTACLUB มีการจัดกิจกรรมมากมายอย่างต่อเนื่อง อาทิ กิจกรรมแรลลี่ กิจกรรมสปอร์ตเดย์ และกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ที่รวบรวมเหล่าสมาชิกโตโยต้าจากทั้ง e-TOYOTACLUB และ Toyota Car Club มาร่วมกิจกรรมสุดสนุกกันตลอดทั้งปี

เว็บไซต์ e-TOYOTACLUB.com โฉมใหม่นี้ ประกอบด้วยฟังก์ชันการใช้งานพิเศษสำหรับสมาชิกผู้ใช้รถโตโยต้าอย่างครบครัน อาทิ Online Services บริการออนไลน์สะดวกรวดเร็วทันใจ ด้วยบริการตรวจสอบประวัติงานซ่อมย้อนหลังได้ทันทีด้วยตัวเอง และยังทำการนัดหมายเข้ารับบริการผ่านระบบออนไลน์ได้อีกด้วย   พร้อมฟังก์ชันสุดพิเศษคืนกำไรให้สมาชิกกับ e-TOYOTACLUB Rewards เพียงสมาชิกร่วมกิจกรรมออนไลน์กับเว็บไซต์ แล้วนำคะแนนสะสมที่ได้มาแลกรับของรางวัลพิเศษได้ทุกวัน นอกจากนี้หากสมาชิกโตโยต้ามีปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับรถโตโยต้า ยังสามารถสอบถามได้โดยตรงผ่านทางฟังก์ชัน Ask Guru โดยมีกูรูชื่อดังแวะเวียนมาคอยตอบปัญหาทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับรถโตโยต้าทุกวัน ไม่เพียงเท่านี้   ในเว็บไซต์ e-TOYOTACLUB.com ยังรวบรวมข่าวสารแวดวงยานยนต์ และไลฟ์สไตล์เรื่องกิน เที่ยว ช้อป มาอัพเดทก่อนใคร เพียงแค่คลิกเข้าชมในส่วนฟังก์ชัน Car Variety & Lifestyle Contents

e-TOYOTACLUB 1

ในช่วงฉลองเปิดตัวเว็บไซต์โฉมใหม่ครั้งนี้ e-TOYOTACLUB ยังมีกิจกรรมต้อนรับ  ให้ผู้ใช้รถโตโยต้าได้ร่วมสนุกอีกด้วย กับกิจกรรม “e-TOYOTACLUB ฉลองเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ รับไปเลย iPhone6” เพียงแค่สมัครสมาชิกใหม่ประเภทโกลด์ (Gold) ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับ iPhone6 ได้ง่ายๆ โดยมี         การแจกรางวัลทุกสัปดาห์

e-TOYOTACLUB 2

สำหรับสมาชิกโตโยต้าและผู้ที่สนใจทั่วไป สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์โฉมใหม่ได้แล้วก่อนใคร วันนี้ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับคอมมิวนิตี้ที่สมบูรณ์แบบ พร้อมร่วมกิจกรรมสุดสนุกได้ตลอดทั้งปี…ที่

Website :                 www.e-toyotaclub.com

Facebook Page:        www.facebook.com/etoyotaclub

e-TOYOTACLUB สังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับคนรักรถโตโยต้า

 

รีวิว 2015 Ford Ranger Wildtrak Double Cab 3.2 4×4 ใหม่ ทั้ง On-Road และ Off-Road ขับดีขึ้น พร้อมเทคโนโลยีทันสมัย

$
0
0

รีวิว 2015 Ford Ranger Wildtrak Double Cab 3.2 4×4 ใหม่ ทั้ง On-Road และ Off-Road ขับดีขึ้น พร้อมเทคโนโลยีทันสมัย

2015-Ford-Ranger-Group-Test_73

เมื่อวันที่ 27-28 สค. 58 ที่ผ่านมานี้ ทาง ฟอร์ด ประเทศไทย ได้จัดทริปทดสอบรถกระบะพันธุ์แกร่งอย่าง 2015 Ford Ranger ใหม่ ให้แก่บรรดาสื่อมวลชนได้ทำการทดสอบ โดยวางเส้นทาง กทม.-กาญจนบุรี  เพื่อให้นักข่าวสายยานยนต์ ทั้งหลายได้ทดสอบขีดความสามารถของกระบะพันธุ์แกร่ง 2015 Ford Ranger ใหม่ ที่มากับสโลแกน “แกร่งเพื่อทุกความสำเร็จ

2015-Ford-Ranger-Group-Test_04

โดย 9carthai เราได้จับคู่ทดสอบกับ รถหมายเลข 2 Ford Ranger Wildtrak Double Cab 3.2 4×4 สีเทา Metropolitan Gray ซึ่งนับได้ว่าเป็นรุ่น Top of The Line ของ 2015 Ford Ranger ใหม่นี้ ซึ่งมีราคา 1,139,000 บาท

2015-Ford-Ranger-Group-Test_65

เพียงแค่เห็นรูปโฉมภายนอกใหม่ ของ 2015 Ford Ranger Wildtrak นั้นเราต้องเรียกว่ามันเป็นการปรับโฉมแบบ Big Minor Changed และอาจต้องทำให้คนที่ชอบกระบะสไตล์อเมริกันตาลุกเนื่องจากได้ถอดรูปลักษณ์อันดูแข็งแกร่งและบึกบึนพร้อมลุยมากยิ่งขึ้น

2015-Ford-Ranger-Group-Test_71

กระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูแบบสปอร์ต รวมถึงกระจกด้านข้าง ที่จับประตู ช่องลมด้านข้าง ราวเสริมขอบกระบะท้าย และไฟท้ายที่ใช้วัสดุเคลือบสีเทาดำแบบเมทัลลิก เพื่อสร้างรูปลักษณ์ที่ดุดันและโฉบเฉี่ยว ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช้หลอดไฟซีนอน ขณะที่ไฟตัดหมอกปรับรูปลักษณ์จากทรงกลมเป็นเหลี่ยม รับกับกันชนหน้าใหม่

2015-Ford-Ranger-Group-Test_05

ล้ออัลลอยขนาด 18” ใน Wildtrak โฉมเก่า ถูกปรับปรุงใหม่ กัดเซาะให้มีสี Metallic ดูดุดันยิ่งขึ้น นอกจากนี้มีการติดตั้งกล้องมองหลังซ่อนอยู่ใต้โลโก้ Ford ที่ฝากระบะท้ายอีกด้วยโดยลิงค์ภาพมาที่หน้าจอคอนโซลภายในห้องโดยสาร

2015-Ford-Ranger-Group-Test_30

ห้องโดยสารภายใน 2015 Ford Ranger Wildtrak ใหม่ ต้องเรียกได้ว่า Big Minor Changed เช่นกัน การเลือกใช้สีส้มดำทูโทนเน้นความสปอร์ต เบาะหนังดำตัดด้วยผ้าสีส้มพร้อมตัวหนังสือ Wildtrak คอนโซลหน้าหุ้มด้วยหนังเดินด้ายสีส้มตลอดแนว เช่นเดียวกับตัวพวงมาลัย

2015-Ford-Ranger-Group-Test_42

นอกจากนี้ เทคโนโลยีออปชั่นครบครัน ทั้งเบาะนั่งฝั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ถึง 8 ทิศทาง, ระบบแอร์อัตโนมัติแยกโซน, หน้าจอทัชสกรีน 8” พร้อมระบบมัลติมีเดียที่รองรับทั้ง AUX SD Card USB CD พร้อมเชื่อมต่อมือถือผ่านระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 2 ใหม่, Wi-Fi Hotspot ทำให้สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เนตได้แม้ระหว่างเดินทาง, ช่องต่อไฟ 230 โวลต์ สามารถชาร์จโน๊ตบุ๊คได้, ระบบกุญแจ MyKey, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นที่มาพร้อมปุ่มควบคุมครบครัน ทั้งสั่งงานด้วยเสียง หน้าจอ MID ครูซคอนโทรล เครื่องเสียง

2015-Ford-Ranger-Group-Test_35

บนแผงมาตรวัด ใหม่ ที่ดูทันสมัย ปุ่มควบคุมทางฝั่งซ้ายของพวงมาลัยจะควบคุมจอ MID ทางด้านซ้ายซึ่งจะเกี่ยวกับระบบมัลติมีเดียของตัวรถ

ขณะที่ปุ่มควบคุมฝั่งขวาของพวงมาลัยจะควบคุมจอ MID ทางด้านขวา ทั้งความเร็วเป็นตัวเลขดิจิตัล, เกจ์น้ำมัน, วัดรอบเครื่องยนต์, อุณหภูมิหม้อน้ำ, Trip, ระยะทางคงเหลือที่วิ่งได้ เป็นต้น

2015-Ford-Ranger-Group-Test_33

ในรุ่นท๊อป 3.2 4×4 นี้เราจะพบปุ่มวงกลมใช้บิดเลือกระบบขับเคลื่อน 2H, 4H และ 4L พร้อมแผงควบคุม Parking Assist, ESP, Diff Lock และ HDC

2015-Ford-Ranger-Group-Test_09

เครื่องยนต์ดีเซล Duratorq TDCi VG เทอร์โบ 5 สูบ 3.2 ลิตร ให้พละกำลังแรงเต็มเปี่ยม 200 แรงม้า@3,000rpm และ แรงบิด 470 นิวตัน-เมตร@1,750-2,500rpm

ในการขับขี่ใช้งานจริงบนถนนนั้น พบว่าเครื่องแรงจริง กำลังมาหนัก พร้อมทอร์คสูง แต่ด้วยความที่ตัวรถหนัก และทอร์คของเครื่องยนต์ 5 สูบ อาจจะมาช้าไปเสียบ้าง แต่ถ้าเผลอเติมคันเร่งลงไปแบบพรวดเดียวในจังหวะกลับรถ คุณจะได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากล้อได้โดยง่าย นอกจากนี้ในจังหวะ U-Turn รถ ซึ่งอาจต้องระมัดระวังให้ดี แต่ด้วยรุ่นท๊อป 4×4 โฉมนี้มีระบบ ESP และ Traction ที่คอยช่วยเหลืออยู่ จึงอุ่นใจได้ระดับนึง ซึ่งเราไม่แนะนำให้มือใหม่ ปิดระบบ ESP กับเจ้า 3.2 Wildtrak นี้ถ้ายังไม่คุ้นชินกับรถกระบะขับหลังแรงบิดที่หนักเช่นนี้

ด้วยกำลังเครื่องที่มีให้แบบเหลือใช้ เช่นนี้ทำให้ Ford Ranger 3.2 นี้ ‘ขับขี่ได้อย่างสนุกจนอาจมีลืมไปว่านี่คือรถกระบะขับ 4 ยกสูง’ แต่จากการทดสอบซึ่งผู้เขียนได้เป็นผู้นั่ง และลองมองไมล์ขณะที่เพื่อนสื่อมวลชนได้ทดลอง Top Speed พบว่า ความเร็วโดนล๊อกที่ราวเกือบๆ 185 กม./ชม. ซึ่งในความเป็นจริงก็นับว่าเหลือเฟือเกินใช้แล้วกับรถกระบะขับ 4×4 ที่เกิดมาเพื่อลุยโดยแท้

ขณะที่อัตราสิ้นเปลืองนั้น ต้องเรียนตามตรงว่าในทริปทดสอบนี้รถ รถคันเราอาจไม่ได้เน้นตัวเลขในด้านอัตราสิ้นเปลืองมากนัก ซึ่งได้ตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่ราว 9 กม./ชม.+ เล็กน้อย กับรถกระบะเครื่องโต 3.2 ลิตรคันนี้

2015-Ford-Ranger-Group-Test_80

ในด้านของการควบคุมตัวรถนั้น ผู้เขียนขอชมว่านี่ล่ะสิ่งที่ดีงานที่สุดของ Ranger ใหม่
การปรับเปลี่ยนจากพวงมาลัยพาวเวอร์ไฮโดรลิก ปรับมาใช้เป็นแบบไฟฟ้า EPAS ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคาแรกเตอร์พวงมาลัยที่อยู่ใน Fiesta ที่มีความเบาหว๋อง ขณะจอดหยุดนิ่ง แต่เมื่อขับเร็วขึ้นเรื่อยๆ จะพบความแน่นตึ๊บมือ ควบคุมได้อย่างมั่นคงมากขึ้น ซึ่งอาการจะตรงกันข้ามกับพวงมาลัยไฮโดรลิกเช่นเดิม ช่วยให้การขับขี่ที่ความเร็วสูงคุณยังไว้ใจในการควบคุมได้มากกว่ากระบะแบรนด์ญี่ปุ่นคันอื่นๆ นอกจากนี้ การขับเข้าโค้งต่อโค้งนั้นเป็นอะไรที่สนุกมากไม่แพ้รถยนต์เก๋งเลย

2015-Ford-Ranger-Group-Test_24

ขณะที่ช่วงล่างก็ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ได้รับการปรับปรุงเช่นเดียวกัน ด้านหน้าปีกนกคู่ ด้านหลังแบบแหนบซ้อน แต่ได้มีการปรับค่า K สปริงใหม่ ให้คงความเป็น Passenger Pick Up มากยิ่งขึ้น จุดนี้มอบความประทับใจได้เป็นอย่างมาก ทรงของช่วงล่าง ดูดีแน่น เฟิร์ม แต่ไม่แข็ง โดยการขับขี่ผ่านพื้นผิวที่ไม่ราบเรียบนั้น ยังคงให้ความหนักแน่นของช่วงล่างเช่นเคย แต่ยังคงซับแรงได้ดี ไม่รู้สึกสะเทือนจนนั่งแล้วอึดอัด เรียกได้ว่าช่วงล่างมีความยืดหยุ่น และผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

2015-Ford-Ranger-Group-Test_11

สำหรับระบบเบรก ที่เป็นแบบหน้าดิสก์ หลังดรัม ตามมาตรฐานกระบะโดยทั่วไปนั้น ที่จริงแล้วเบรกมันมีประสิทธิภาพเพียงพอในการหยุดชะลอความแรงระดับ 200 ม้าได้ แต่ด้วยการเซ็ทแป้นเบรกที่ดูจะต้องกดแป้นลงลึก ลงน้ำหนักเท้ากันมากหน่อย จึงอาจทำให้ผู้ที่ชินกับการขับรถยนต์มาก่อน ต้องปรับการกะระยะเบรก หรือน้ำหนักเท้าให้เป็นคน “ตีนหนัก” มากขึ้น ซึ่งการเซ็ทแป้นเบรกเช่นนี้ ดูไร้น้ำหนักและเบรกทื่อไปเสียหน่อย

2015-Ford-Ranger-Group-Test_88

ในส่วนถัดมาเราจะขอพูดถึงการขับทดสอบในรูปแบบ OffRoad จัดขึ้น ณ สนามฝึกขับและทดสอบยานพาหนะ ขส.ทบ. ท่าม่วง
จะถูกแบ่งการขับขี่ ออกเป็น 3 สเตชั่น ได้แก่

2015-Ford-Ranger-Group-Test_76

1. เริ่มต้นโดยให้ทดสอบกำลังเครื่องยนต์ในการไต่ขึ้นเขา พร้อมทดสอบระบบ HSA และ HDC โดยการขึ้น-ลงทางลาดชัน
โดยเริ่มต้นขึ้นทางลาดชันที่มีความชัน 50 องศา และลง 30 องศา ก่อนที่จะขึ้น 50 องศาอีกครั้ง และลงที่ 60 องศา
โดยการทดสอบนี้จะให้เราขับ Ranger 3.2 4X4 ตะกุยขึ้นทางชัน โดยมีการจอดค้างที่เนินเพื่อทดสอบระบบ HSAที่จะช่วยหน่วงแป้นเบรกเอาไว้ 2 วินาที เพื่อให้เราสามารถออกตัวได้ต่อโดยที่รถไม่ไหลกลับ ขณะที่การลงทางชัน เพียงแค่กดปุ่ม HDC ก็สามารถที่จะปล่อยเบรก ให้รถไหลลงเองได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งใน Ranger ใหม่นี้ จะควบคุมความเร็วให้ไม่เกิน 9 กม./ชม. เพิ่มความสะดวก ด้วยการเพิ่ม หรือ ลดความเร็วได้เองจากปุ่ม + – บนด้านขวาพวงมาลัย เหมือนการควบคุมความเร็วของ Cruise Control

2015-Ford-Ranger-Group-Test_79

2. การขับลุยทาง Off-Road ในรูปแบบต่างๆ
2.1) เริ่มจากการขับลุยเส้นทางที่เต็มไปด้วยก้อนหิน ซึ่งในช่วงนี้ เราจะได้ทดสอบความแน่นเฟิร์มของระบบช่วงล่าง Ranger ใหม่กันอย่างเต็มที่ ซึ่งการปรับเป็นโหมด 4H นั้นสามารถบิดได้ทันทีหรือที่เรียกกันว่า Shift on fly สามารถขับด้วยความเร็วระดับ 30-40 กม./ชม.รูดยาวไปได้จนสุดเส้นทาง

2015-Ford-Ranger-Group-Test_84

2.2) การขับลุยพื้นที่มีน้ำขังสูงระดับ 50-60 ซม. ในจุดนี้ จะต้องปรับลงมาที่โหมด 4L โดยการจอดรถเข้าเกี่ยร์ N ก่อนทุกครั้งแล้วจึงหมุนมาที่ตำแหน่ง 4L การขับลุยน้ำขังที่สูงนี้จะต้องการกำลังของเครื่องยนต์และเกียร์แรกที่มีอัตราทดสูง เพื่อเรียกกำลังในการไต่ ฉุดรถผ่านอุปสรรคไปได้โดยไม่ลำบากยากเย็นแต่อย่างใด ที่สำคัญ Ranger ใหม่ เคลมการขับลุยน้ำได้สูงถึง 80 ซม. เลยทีเดียว

2.3) เนินแบบลูกระนาดที่มีต่อเนื่อง โดยสามารถใช้โหมดการขับได้ทั้ง 4H หรือ 4L หากใช้ 4H จะต้องใช้การเลี้ยงเบรกในจังหวะหย่อนรถลงทุกครั้ง เพื่อความนุ่มนวล แต่ถ้าใช้ 4L กำลังฉุดที่สูงของเครื่องยนต์จะทำหน้าที่เป็น Engine Brake เองซึ่งช่วยให้ไม่จำเป็นต้องมาเหยียบเลียเบรกลงเนินกันโดยตลอด

2015-Ford-Ranger-Group-Test_66

3. หลังจบการทดสอบแบบ Off-Road ก็วนต่อมาในส่วนของสเตชั่น Gymkhana ซึ่งเป็นการจำลอง Track สั้นๆ วิ่งตามไลน์ที่ได้ตั้ง Pylon ไว้ โดยเริ่มต้นจากการ Slalom ต่อด้วยโค้งกว้าง โค้ง S และวนเลข 8 เป็นอันจบ Route แต่ไฮไลท์ที่การขับในครั้งนี้สร้างความประทับใจให้ผู้เขียน อยู่ที่พื้นผิว Track ไม่ใช่พื้นลาดยางแบบทั่วไปที่ขับกัน แต่เป็นพื้นกรวด ใช่! มันสนุกมากจริงๆ กับการขับรถกระบะที่มี ทอร์คสูง ร่วมกับพวงมาลัยไฟฟ้าใหม่ที่ให้การตอบสนองอันยอดเยี่ยมเบาคล่องตัวที่ความเร็วต่ำ เราสามารถสาดโค้งท้ายออกได้อย่างสนุก โดยเฉพาะจังหวะวนเลข 8 ซึ่งคุณงามความดีของพวงมาลัยไฟฟ้าใหม่นี้ ช่วยให้การ Counter Steering พวงมาลัย กลับมาตั้งลำตรงนั้นเป็นไปได้อย่างง่ายดายซึ่ง เราชื่อว่ากระบะคันอื่นๆ คงจะทำได้ยากกว่านี้อย่างแน่นอน

2015-Ford-Ranger-Group-Test_67

สรุป 2015 Ford Ranger Wildtrak Double Cab 3.2 4×4 ใหม่ ที่เราได้สัมผัสแบบเต็มทั้งรูปแบบ On-Road และ Off-Road ในครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่การปรับโฉม ซึ่งยังคงใช้ขุมพลังบล็อกเดิม แต่ต้องถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ และน่าสนใจไม่แพ้กระบะเปลี่ยนโฉม Model Changed คันอื่นๆ

ฟีลลิ่งการขับที่ปรับปรุงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (ซึ่งของเดิมนับว่าดีอยู่แล้ว) และระบบความปลอดภัย รวมไปถึงอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคต่างๆ ต้องเรียกได้ว่าทันสมัยไม่แพ้กระบะรุ่นใดเลย แม้อาจมีบางจุดที่ยังดูด้อยกว่าอยู่บ้าง อาทิ ไม่มีแอร์ตอนหลัง และระบบนำทางเป็นต้น

แต่โดยรวมแล้วหากคุณต้องการเป็นผู้นำในด้านความแกร่งอันเหนือชั้นเกินรถกระบะในตลาดแล้วล่ะก็ 2015 Ford Ranger Wildtrak Double Cab 3.2 4×4 ใหม่ จะเป็นรถทีตอบโจทย์ให้กับ LifeStyle ชอบลุยอย่างคุณได้แน่นอน

ขอขอบคุณ ฟอร์ด ประเทศไทย สำหรับทริปทดสอบ 2015 Ford Ranger ใหม่ ในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver 9carthai

2015-Ford-Ranger-Group-Test_23 2015-Ford-Ranger-Group-Test_24 2015-Ford-Ranger-Group-Test_25 2015-Ford-Ranger-Group-Test_26 2015-Ford-Ranger-Group-Test_27 2015-Ford-Ranger-Group-Test_28 2015-Ford-Ranger-Group-Test_29 2015-Ford-Ranger-Group-Test_30 2015-Ford-Ranger-Group-Test_31 2015-Ford-Ranger-Group-Test_32 2015-Ford-Ranger-Group-Test_33 2015-Ford-Ranger-Group-Test_34 2015-Ford-Ranger-Group-Test_35 2015-Ford-Ranger-Group-Test_36 2015-Ford-Ranger-Group-Test_37 2015-Ford-Ranger-Group-Test_38 2015-Ford-Ranger-Group-Test_39 2015-Ford-Ranger-Group-Test_40 2015-Ford-Ranger-Group-Test_41 2015-Ford-Ranger-Group-Test_42 2015-Ford-Ranger-Group-Test_43 2015-Ford-Ranger-Group-Test_44 2015-Ford-Ranger-Group-Test_45 2015-Ford-Ranger-Group-Test_46 2015-Ford-Ranger-Group-Test_47 2015-Ford-Ranger-Group-Test_48 2015-Ford-Ranger-Group-Test_49 2015-Ford-Ranger-Group-Test_50 2015-Ford-Ranger-Group-Test_51 2015-Ford-Ranger-Group-Test_52 2015-Ford-Ranger-Group-Test_53 2015-Ford-Ranger-Group-Test_54 2015-Ford-Ranger-Group-Test_55 2015-Ford-Ranger-Group-Test_56 2015-Ford-Ranger-Group-Test_57 2015-Ford-Ranger-Group-Test_58 2015-Ford-Ranger-Group-Test_59 2015-Ford-Ranger-Group-Test_60 2015-Ford-Ranger-Group-Test_61 2015-Ford-Ranger-Group-Test_62 2015-Ford-Ranger-Group-Test_63 2015-Ford-Ranger-Group-Test_64 2015-Ford-Ranger-Group-Test_65 2015-Ford-Ranger-Group-Test_66 2015-Ford-Ranger-Group-Test_67 2015-Ford-Ranger-Group-Test_68 2015-Ford-Ranger-Group-Test_69 2015-Ford-Ranger-Group-Test_70 2015-Ford-Ranger-Group-Test_71 2015-Ford-Ranger-Group-Test_72 2015-Ford-Ranger-Group-Test_73 2015-Ford-Ranger-Group-Test_74 2015-Ford-Ranger-Group-Test_75 2015-Ford-Ranger-Group-Test_76 2015-Ford-Ranger-Group-Test_77 2015-Ford-Ranger-Group-Test_78 2015-Ford-Ranger-Group-Test_79 2015-Ford-Ranger-Group-Test_80 2015-Ford-Ranger-Group-Test_81 2015-Ford-Ranger-Group-Test_82 2015-Ford-Ranger-Group-Test_83 2015-Ford-Ranger-Group-Test_84 2015-Ford-Ranger-Group-Test_85 2015-Ford-Ranger-Group-Test_86 2015-Ford-Ranger-Group-Test_87 2015-Ford-Ranger-Group-Test_88 2015-Ford-Ranger-adjust-seat 2015-Ford-Ranger-Group-Test_01 2015-Ford-Ranger-Group-Test_02 2015-Ford-Ranger-Group-Test_03 2015-Ford-Ranger-Group-Test_04 2015-Ford-Ranger-Group-Test_05 2015-Ford-Ranger-Group-Test_06 2015-Ford-Ranger-Group-Test_07 2015-Ford-Ranger-Group-Test_08 2015-Ford-Ranger-Group-Test_09 2015-Ford-Ranger-Group-Test_10 2015-Ford-Ranger-Group-Test_11 2015-Ford-Ranger-Group-Test_12 2015-Ford-Ranger-Group-Test_13 2015-Ford-Ranger-Group-Test_14 2015-Ford-Ranger-Group-Test_15 2015-Ford-Ranger-Group-Test_16 2015-Ford-Ranger-Group-Test_17 2015-Ford-Ranger-Group-Test_18 2015-Ford-Ranger-Group-Test_19 2015-Ford-Ranger-Group-Test_20 2015-Ford-Ranger-Group-Test_21 2015-Ford-Ranger-Group-Test_22

Chevrolet Complete Care โปรแกรมสุดพิเศษ เพื่อลูกค้า Chevrolet โดยเฉพาะ

$
0
0

Chevrolet Complete Care โปรแกรมสุดพิเศษ เพื่อลูกค้า Chevrolet โดยเฉพาะ

Chevrolet-Complete-Care_resize

การที่จะเลือกซื้อรถยนต์แต่ละคันนั้น ผู้ซื้อคงต้องมีหลายปัจจัยที่จะต้องนำมาพิจารณา หาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อรถคู่กายสักคัน และเราเชื่อว่า 1 ในปัจจัยสำคัญที่จะต้องพิจารณาก่อนการซื้อรถ นั่นก็คือ เรื่องของการบริการหลังการขายนั่นเอง

หลายคนที่มีประสบการณ์กับการซื้อรถยนต์คันก่อนๆ ที่ต้องมาคอยกังวลเกี่ยวกับการบริการหลังการขาย ว่าจะมีการดูแลที่ดี หรือจะเป็นเพียงแค่ขายแล้วจบกัน ผู้ไปดูแลจัดการกันเอาเอง ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นหากคุณเป็นลูกค้าของ Chevrolet ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าปัจจุบัน หรือผู้ที่จะซื้อรถใหม่ก็ตาม

Chevrolet-Complete-Care-

Chevrolet ซึ่งถือเป็นค่ายรถยักษ์ใหญ่จากประเทศสหรัฐฯ ที่มีความน่าเชื่อถือจากเกียรติประวัติอันยาวนานกว่า 100 ปี ได้มอบคำมั่นสัญญา ความมุ่งมั่น ความเข้าใจ ให้แก่ลูกค้าของเชฟโรเลตทุกท่าน กับโปรแกรม Chevrolet Complete Care

Chevrolet Complete Care ถือเป็นโปรแกรม ที่มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าด้วยบริการหลังการขายที่เพียบพร้อมครอบคลุมในทุกด้าน ได้แก่

– การรับประกันสูงสุด 3 ปี หรือ 100,000 กม. (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ลูกค้า Chevrolet สามารถอุ่นใจได้กับการรับประกันรถคันเก่งของคุณ ตั้งแต่วันแรก ไปจนถึงเวลา 3 ปี หรือ 100,000 กม. ว่าจะได้รับการดูแลอย่างดีจากช่างผู้เชี่ยวชาญ พร้อมอะไหล่แท้ที่มีเตรียมพร้อมให้แก่รถยนต์ Chevrolet ทุกรุ่น

– บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. (Roadside Assiatance) เพราะเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ Chevrolet จึงเตรียมพร้อมให้บริการด้านความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งหากเกิดเหตุ บริการช่วยเหลือฉุกเฉินจะจัดส่งรถยกลากเพื่อนำรถกลับเข้ามายังศูนย์บริการ Chevrolet อย่างเร่งด่วน บริการช่วยเหลือฉุกเฉินยังประกอบด้วย การปลดล็อกกุญแจ (ประสานงานติดต่อช่างกุญแจ) เปลี่ยนยาง (ยางอะไหล่ที่ติดตั้งมาให้)  และต่อพ่วงแบตเตอรี่ โดยบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ให้ความมั่นใจได้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือทุกเวลาเมื่อคุณต้องการ เพียงโทร. 1734 กด 1

– ศูนย์บริการเคลื่อนที่ (Mobile Service) Chevrolet มีศูนย์บริการเคลื่อนที่ ที่มีพร้อมทั้งอุปกรณ์มาตรฐาน และช่างผู้เชี่ยวชาญ คอยให้บริการตรวจเช็ค และให้คำปรึกษานอกสถานที่ โดยไม่ต้องนำรถเข้าศูนย์บริการด้วยตนเอง โทร. 1734 หรือติดต่อขอรับบริการได้ที่ศูนย์บริการใกล้บ้าน

Chevrolet-CC

– ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) ซึ่งจะคอยให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหารถยนต์เบื้องต้น รวมถึงข้อมูลสินค้าและบริการ รายละเอียดโปรโมชั่น คำติชม ร้องเรียน ต่างๆ เพื่อให้ลูกค้า Chevrolet ได้รับความพึงพอใจสูงสุด โดยลูกค้าสามารถกดโทร 1734 สอบถามข้อมูลได้ทุกวันในเวลา 7:00-20:00น.

R1 LAY2_CHVYPlus2015Masthead Banner1280x551px

– Chevy Plus ได้มอบสิทธิพิเศษให้เฉพาะลูกค้าของ Chevrolet ได้เติมเต็มความสุขให้การใช้ชีวิตในทุกวันพิเศษยิ่งกว่าด้วยสิทธิพิเศษมากมาย และกิจกรรมสนุกตลอดปี ทั้งการไปเที่ยวพักผ่อน, ช้อปปิ้ง, ทานอาหาร, ดูหนัง ฟังเพลง ได้แก่ SF Cinema, Thai Ticket Major, McDonald’s, Bangkok Airways เป็นต้น

All-about-chevy1

นอกจากนี้สำหรับลูกค้าที่ใช้ Smartphone ระบบ Android สามารถโหลด Application All About Chevy ซึ่งเป็นแอพลิเคชั่นที่พร้อมนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับบริการของ Chevrolet คำแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์และตอบคำถามในทุกเรื่องของการให้บริการ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับผู้ที่มองหารถยนต์คุณภาพเยี่ยมมาตรฐานจากประเทศสหรัฐฯ ให้การขับขี่ที่ยอดเยี่ยม และยังมีโปรแกรมการดูแลลูกค้าหลังการขายที่ดีเยี่ยมอีกเช่นนี้ ผู้มองหารถยนต์ใหม่ไม่ควรมองข้ามรถยนต์ Chevrolet นะครับ

 

ชมคลิปเพิ่มเติมได้ที่

เปิดตัว “2016 Honda Civic”อย่างเป็นทางการแล้วพร้อมเครื่องยนต์แบบใหม่ขนาด 1.5 ลิตร

$
0
0

เปิดตัว “2016 Honda Civic” อย่างเป็นทางการแล้วพร้อมเครื่องยนต์แบบใหม่ขนาด 1.5 ลิตร
0
Honda แบรนด์รถชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นนั้นได้ทำการเปิดตัวรถแบบ All-new Honda Civic รุ่นใหม่ของพวกเขาออกมาอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้วในปัจจุบัน ซึ่งเจ้ารถรุ่นใหม่นี้ถือเป็นรถในโฉม (Generation) ที่ 10 ของพวกเขาแล้วโดยเปิดตัวออกมาในงานที่เมือง Los Angeles

โดยรถแบบ “2016 Civic” รุ่นใหม่นั้นจะเป็นแบบ Coupe (รถเก๋ง) ขนาด 4 ประตู 4 ที่นั่งเหมือนเดิม แต่จะมีพร้อมกับเทคโนโลยีทางวิศวกรรมใหม่ด้านต่างๆ เช่น แซสซี่แบบใหม่ล่าสุด, เครื่องยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดและแม้กระทั่งการออกแบบโฉมสไตล์อเมริกาแบบ Hatchback (5 ประตู)

นอกจากนี้ในงานที่ LA พวกเขายังเปิดตัวในหลายโฉมย่อยด้วยกันตามหลังรถแบบ Coupe (รถเก๋ง) เช่น รถแบบโฉมแต่ง SI Models, โฉมแบบ 5 ประตู (Hatchback), รถแบบ Civic Type R model (คู่แข่งอย่างเต็มตัวของรถแบบ Ford Focus RS) และโฉมที่ย่อยลงไปอีกแบบยุโรป (European model) ขนาดกำลัง 306 แรงม้าจากเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบ

เมื่อพูดถึงเครื่องยนต์แบบใหม่ของรถแบบ 2016 Civic Sedan รุ่นธรรมดานั้นจะใช้เครื่องยนต์ขนาดความจุทั้งสิ้น 1.5 ลิตรแบบ direct-injected (หัวฉีดโดยตรง) และ turbocharged (เทอร์โบชาร์จ) จำนวน 16 วาล์ว 4 สูบ พร้อมใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT

โดยมันจะมีโฉมย่อยแบบ EX-T, EX-L และ Touring ซึ่งในรุ่นถัดมาจะใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตรที่ให้กำลัง 173 แรงม้า และรุ่นแบบ LX ท็อปสูงสุดจะใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรแบบ i-VTEC แบบ 4 สูบที่ให้กำลัง 158 แรงม้าและเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดแบบ continuously variable automatic transmission (CVT)

2016 Civic Sedan นั้นจะมีความกว้างมากกว่าเดิมทั้งสิ้น 2 นิ้วด้วยกัน, พร้อมมีฐานล้อยาวมากขึ้นกว่าเดิม 1.2 นิ้วทำให้มีขนาดตัวรถที่ยาวขึ้น, น้ำหนักของตัวรถนั้นมากขึ้นกว่าเดิม 68 ปอนด์ (31 กิโลกรัม), มีพื้นที่ภายในมากขึ้นกว่าเดิม 3.7 คิวบิคฟุตพร้อมพื้นที่ภายในอีก 2 นิ้วและพื้นที่ขนของอีกทั้งสิ้น 73 ลิตร

การออกแบบแซสซี่รุ่นใหม่ล่าสุดนั้นจะเพิ่มในส่วนของสตรัทหน้าเพื่อรับแรงกระแทกมากขึ้นกว่าปกติ, ระบบเชื่อมต่อช่วงล่างที่ต่อเนื่องไปยังทางด้านหลัง, พวงมาลัยแบบใหม่ที่ทำให้การขับขี่นั้นต้องเนื่องมากขึ้น, ระบบเบรคแบบดิสก์ทั้ง 4 ล้อหน้าและหลังเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่, ค้ำทางด้านหลัง (stabilizer bars) และเทคโนโลยีช่วยเบรคแบบ Agile Handling Assist brake ที่ทำให้เบรคได้ดีขึ้นกว่าเดิม

ต่อมาคือส่วนของการตกแต่งภายในสำหรับเจ้ารถแบบ Civic รุ่นใหม่ล่าสุดนั้นจะมาพร้อมกับไฟ LED ขนาดใหญ่ทางด้านไฟหน้า, หน้าจอทัชสกรีนขนาดกว้าง 7 นิ้วแบบ HD (ความละเอียดสูง) พร้อมระบบเล่นเพลงทั้ง Apple CarPlay (ของแอปเปิ้ล) และ Android Auto (แอนดรอยด์ของซัมซุง)

“รถแบบ Civic รุ่นใหม่ล่าสุดนี้นั้นถือว่าเป็นรถใน Generation ล่าสุดที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงสุดที่เราไม่เคยเปิดเผยมาก่อน โดยมันจะผสมผสานไปทั้งทางด้านประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่ดีขึ้น, อัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีกว่าเดิม, ความปลอดภัยในการขับขี่ที่มากกว่าปกติและความสนุกในการเดินทาง” John Mendel, ประธานพิเศษของ Honda ประจำประเทศสหรัฐอเมริกาให้สัมภาษณ์ทิ้งท้าย

1234567891011121314

บางจาก E20 S เทคโนโลยีใหม่ของน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ทำให้ทั้งความแรงและความสะอาดไปด้วยกันได้

$
0
0

บางจาก E20 S เทคโนโลยีใหม่ของน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ทำให้ทั้งความแรงและความสะอาดไปด้วยกันได้

01

จำนวนยานพาหนะที่มีปริมาณมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ก่อให้เกิดมลภาวะตามมา ส่งผลต่อสุขภาพของผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นอย่างมาก

บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) จำกัด ผู้นำการผลิตและจำหน่ายน้ำมันรายสำคัญของเมืองไทย ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีทั้งต่อการใช้งานและสิ่งแวดล้อมตลอดมา ล่าสุดนี้ ได้พัฒนาเทคโนโลยี Green S จนได้ผลิตภัณฑ์น้ำมัน E20 S ใหม่ ที่ให้ทั้งความแรง เพิ่มสมรรถนะให้เครื่องยนต์ ขณะเดียวกันยังช่วยลดมลภาวะจากการเผาไหม้ ด้วยค่ากำมะถันที่ตำกว่า 10 PPM ตามมาตรฐาน Euro 5

หากใครคิดว่าความแรง กับสิ่งแวดล้อม จะไปด้วยกันไม่ได้ คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะ น้ำมัน E20 S ได้คิดค้นพัฒนามาจากเทคโนโลยี Green S โดยใช้กระบวนการกลั่นทันสมัยทำให้ได้น้ำมันที่สะอาดกำมะถันต่ำ ได้รับมาตรฐานสูงถึงระดับ Euro 5 พร้อมเพิ่มสาร S Purifier และ S Modifier ที่ให้ทั้งความแรงและความสะอาดยิ่งขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยที่คุณไม่ต้องมานั่งบ่นกับเรื่องการสูญเสียด้านสมรรถนะความแรง

02

บางจาก E20 S ได้สร้างนิยามใหม่ ของความแรงสีเขียว ด้วยสารสองชนิดคือ

  1. S Purifier มีคุณสมบัติชะล้างทำความสะอาด ช่วยให้เครื่องยนต์เผาไหม้สมบูรณ์ หมดจด
  2. S modifier ช่วยลดความฝืด ทำให้เครื่องเดินลื่น ให้สมรรถนะที่ดีต่อเนื่อง แรงเต็ม speed และลดมลภาวะจากการเผาไหม้

นอกจากนี้ ค่ากำมะถันที่ต่ำกว่า 10 ส่วนใน 1 ล้านส่วน ซึ่งดีกว่ามาตรฐานยูโร 5 จึงลดมลภาวะและดีต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น

03

น้ำมัน E20 S ได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพ ทั้งโดยการใช้งานจริงและในห้องทดลอง จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ผลการทดสอบพบว่า E20 S Euro5 ดีกว่า E20 สูตรเดิมดังนี้

  1. มีกำลังพุ่งทะยาน และเสียงเครื่องยนต์ที่นุ่มขึ้น
  2. อัตราเร่งเครื่องยนต์ดีขึ้น
  3. ให้แรงบิดและความเร็วรอบดีขึ้น
  4. มีการเผาไหม้หมดจดขึ้น

04

จากผลการทดสอบข้างต้นจะเห็นได้ว่า บางจาก E20 S มาตรฐาน Euro5 มีจุดเด่นในด้านพละกำลังความแรงของเครื่องยนต์ ดังนั้นผู้ที่กังวลว่าน้ำมันสะอาดจะไม่แรงนั้น ขอให้ลืมไปได้เลย มาลองใช้บางจาก E20 S ใหม่ แล้วจะพบว่าความแรงควบคู่กับสะอาดนั้นมีอยู่จริง

และพิเศษสุดในช่วงนี้ สมาชิกบัตรแก๊สโซฮอล์คลับ ที่เติม E20 S รับคะแนนสะสม 3 เท่า หรือลิตรละ 60 สตางค์ ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2558 ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากกว่า 700 แห่งทั่วประเทศ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bangchak-e20s.com


รีวิว Nissan NV350 Urvan รถตู้คันใหญ่ไซส์ Big กว่าเดิม

$
0
0

รีวิว Nissan NV350 Urvan รถตู้คันใหญ่ไซส์ Big กว่าเดิม

Nissan-Urvan-TestDrive_13

หากพูดถึงรถตู้โดยสารแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมเป็นเรื่องของพื้นที่โดยสารที่ควรจะมีความกว้างขวาง ขนาดใหญ่ นั่งสบาย ที่จะช่วยมอบความสุนทรีย์ในการเดินทางให้แก่บรรดาผู้โดยสารผู้ใช้บริการทั้งหลาย ซึ่งในวันนี้ทาง 9carthai เราจะขอมานำเสนอรถตู้ คันใหม่ ที่ใหญ่กว่า เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับหน่วยงาน หรือผู้ที่ต้องการใช้เป็นรถตู้โดยสาร ไม่ว่าจะเชิงพาณิชย์หรือใช้ในองค์กรก็ตาม กับ รีวิว Nissan NV350 Urvan รถตู้ คันใหญ่ กว่าใคร

Nissan-Urvan-TestDrive_05

Nissan NV350 Urvan ถือเป็นการฉีกกรอบของรถตู้นั่งโดยสารทั่วไป โดยทาง นิสสันเองได้เรียก NV350 Urvan ใหม่ นี้ว่า Big Urvan ซึ่งบ่งบอกถึง ความกว้างที่เหนือระดับ โดยมีตัวถังกว้างและใหญ่ขึ้นในทุกมิติ ด้วยความกว้าง 1.88 ม. ยาว 5.23 ม. และสูงถึง 2.285 ม. ถูกเน้นมาเพื่อการรองรับการขนส่งผู้โดยสารโดยเฉพาะ และแน่นอนว่าหากต้องขับ Big Urvan คันนี้ขึ้นลงอาคารจอดรถที่แคบแล้วด้วยนั้น เรียกได้ว่า เหนื่อยลากเลือด แน่ๆ (ผู้เขียนลองมาแล้ว) ซึ่งหากคุณต้อง

Nissan-Urvan-TestDrive_42

ด้านดีไซน์ของตัวรถ ก็ถือว่าให้ความโดดเด่นได้ดีทั้งด้านหน้าและท้าย จากกระจังหน้าโครเมียมทรง V-Shape ที่นับว่าเป็นเอกลักษณ์ของรถนิสสันยุคใหม่  ไฟหน้าและไฟท้ายทรงเหลี่ยมมีดีไซน์โฉบเฉี่ยวขึ้น นอกจากนี้กระจกข้างยังเพิ่มลูกเล่นมีบานเลื่อนแบบพิเศษมาให้ใช้งานอีกด้วย

ซึ่ง NV350 Urvan มาพร้อม 5 สี ให้เลือก คือ สีขาว White Solid, สีบรอนซ์ Brilliant Silver, สีเทา Grey Metallic, สีดำ Black Solid และสีน้ำตาล Tiger Eyes Brown สีภายในแบบทูโทน ดำ- เทา

Nissan-Urvan-TestDrive_57

เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในห้องโดยสาร จะพบกับความราบเรียบ (จนเกินไปหน่อย) ซึ่ง NV350 Urvan จะไม่มีติดตั้งเครื่องเสียงมาด้วย เป็นช่อง 2 Din ว่างให้ไปเลือกติดตั้งเอาเอง ทางบริเวณด้านหน้าตัวรถ พวงมาลัยของ Big Urvan นี้เป็นแบบเดียวกับ March, Almera รุ่นล่าง ที่เป็นพวงแบบโพลียูรีเทนตันๆทั้งวง

Nissan-Urvan-TestDrive_62

ขณะที่มาตรวัดหน้าจอ MID แสดงผลอัจฉริยะอัตราสิ้นเปลือง พร้อมคำนวณระยะทางคงเหลือที่วิ่งได้ ยังมาพร้อมลูกเล่น Shift Up Indicator เตือนการเปลี่ยนเกียร์ เพื่อความประหยัดน้ำมันสูงสุด

Nissan-Urvan-TestDrive_59

จุดเด่นที่บริเวณคอนโซลหน้าเห็นจะเป็นเครื่องปรับอากาศที่มีปุ่ม Rear Cooler ซึ่งเป็นเหมือนการเร่งพัดลมแอร์ให้แรงยิ่งขึ้นสำหรับผู้โดยสารทางด้านหลัง และที่ตำแหน่งด้านล่างของคอนโซลหน้า จะมีช่องเก็บขวด 2 ช่อง ที่รักษาความเย็น

Nissan-Urvan-TestDrive_71

ภายในห้องโดยสารนี้รองรับตำแหน่งคนนั่งทั้งสิ้น 16 ที่ และโดดเด่นด้วยช่องแอร์ ที่มีมากถึง 18 ช่อง

Nissan-Urvan-TestDrive_72

สำหรับตัวเบาะตรงกลางระหว่างคนขับกับผู้โดยสารฝั่งซ้ายสามารถพับลงได้ แต่น่าเสียที่น่าจะทำเป็นช่องเอาไว้สำหรับวางของได้

Nissan-Urvan-TestDrive_75

ด้านตำแหน่งการขับขี่นั้นต้องถือได้ว่ารถมีความสูงมากทีเดียว ทำให้เวลาก้าวขึ้นรถจะต้องใช้มือจับโหนที่บริเวณเสา A หน้ารถขึ้นไป ขณะที่เวลาลงอาจจะดูลำบากนิด เพราะการก้าวขาลงนั้นอาจจะไม่ถึงเหมือนต้องกระโดดลงสู่พื้น ด้วยตำแหน่งนั่งขับที่สูง ช่วยให้มีวิสัยทัศน์ในการมองเห็นได้ไกลดี สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ข้างหน้าได้ง่ายยิ่งขึ้น

อีกจุดที่น่าประทับใจ ก็คือ ในเรื่องความร้อนของเครื่องยนต์ที่วางอยู่ใต้เบาะของผู้โดยสารตอนหน้านั้น ไม่มีไอความร้อนออกมาให้สัมผัสกัน ซึ่งแตกต่างจากรถตู้ทั่วๆไปที่มักจะมีความร้อนให้สัมผัสกันได้ไม่มากก็น้อย

Nissan-Urvan-TestDrive_49

เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร รหัส YD25DDTi 4 สูบ เรียงคอมมอนเรล VGS Turbo อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลัง 129 แรงม้า@3,200rpm  แรงบิดที่ 356Nm@1,100-2,000rpm จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 Speed

Nissan-Urvan-TestDrive_19

การขับขี่นั้นถือว่าเครื่องยนต์มีกำลังที่ดีแรงใช้ได้ ในจังหวะออกตัวที่เกียร์ 1 พบว่าอัตราทดในเกียร์แรกที่สูงมากดูจะทำให้การออกตัวกระชากไปเสียหน่อย ไม่ค่อยนุ่มนวลนัก ดังนั้นหากมีผู้โดยสารนั่งไม่มาก เราแนะนำให้ขับออกตัวที่เกียร์ 2 ได้เลย เพื่อลดความกระชากของตัวรถลง  เครื่องยนต์ทอร์คมาไวตั้งแต่ช่วง 1,400rpm-2,000rpm ถ้าเน้นการขับที่ประหยัดน้ำมันแล้วล่ะก็ขับตาม Shift Up Indicator ได้เลย โดยในคันที่เราทดสอบนี้ได้เซ็ทไว้ที่ 1,600rpm หรือหากเน้นช่วงกำลังแรงบิดที่ใช้งานได้ต่อเนื่องขึ้นก็อาจสับเกียร์ได้ที่ช่วง 2,000rpm ไม่จำเป็นที่จะต้องขับลากรอบเครื่องมากเกินนี้หากเน้นความสมูทของเครื่องยนต์และความประหยัด  ในขณะที่การเติมคันเร่งเพื่อเร่งแซงรถในตำแหน่งเกียร์ 5 นั้น ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีน่าประทับใจ ในช่วง 80 กม./ชม. ขึ้นไป และเมื่อขับที่ความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางที่พอเหมาะที่ 100 กม./ชม. จะเป็นช่วงที่รอบเครื่องยนต์กำลังรีดแรงม้าได้มากขึ้น ซึ่งช่วงนี้ก็สามารถส่งกำลังจากเกียร์ 5 ได้เพียงพอในการเร่งแซงรถที่ขับปกติทั่วๆไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

Nissan-Urvan-TestDrive_09

ระบบช่วงล่างกันสะเทือนแบบอิสระปีกนกคู่ ทางด้านหน้า และด้านหลังแบบแหนบซ้อนที่ติดตั้งใต้เพลา ช่วยให้รถนั้นซับแรงได้ดี นี่คืออีกจุดเด่นของรถตู้ Big Urvan คันนี้ เราพบว่ามันให้ความสะดวกสบายในการเดินทางที่มากกว่ารถตู้ในระดับเดียวกันทั่วไป นอกจากนี้การขับขี่ด้วยความเร็วระดับ 130 กม./ชม. ช่วงล่างนั้นยังทรงตัวได้ดีพอใช้ แม้อาจต้องระมัดระวังในเรื่องการควบคุมพวงมาลัยมากขึ้น และการเลี้ยวเข้าโค้งซึ่งต้องระมัดระวังเนื่องจากตัวรถมีขนาดที่ใหญ่กว่าชาวบ้าน และสูงกว่าพอสมควรจึงควรใส่ใจในจังหวะควบคุมรถในทางโค้งให้มากยิ่งขึ้น

Nissan-Urvan-TestDrive_38

นอจากนี้ระบบเบรกที่มาพร้อม ABS, BA ซึ่งถือเป็นมาตรฐานของรถตู้ในทุกวันนี้ ช่วยชะลอความเร็วลงได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้เขียนพบว่ามันหยุดรถได้ดีมั่นใจกว่ารถตู้ยอดนิยมเสียอีก

Nissan-Urvan-TestDrive_43

บทสรุป Nissan NV350 Urvan (Big Urvan) รถตู้คันใหญ่ ไซส์ Big สมชื่อ ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตกว่าเพื่อน และพื้นที่กว้างขวาง ช่วยให้ผู้โดยสารมีพื้นที่นั่งได้อย่างสบายมากยิ่งขึ้นไม่แออัด ขณะที่ระบบช่วงล่างก็ถือเป็นจุดที่โดดเด่นมากไม่แพ้กัน  แม้ว่าภายในห้องโดยสารจะดูราบเรียบและไร้ลูกเล่นไปบ้างก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นการหักลบกลบหนี้กันที่ให้ผล + ออกมามากกว่าเพราะเป็นจุดฟังก์ชั่นที่ใช้งานจริงแบบสัมผัสได้

Nissan-Urvan-TestDrive_01

สำหรับผู้ที่สนใจรถตู้คันโตจากนิสสันแล้วล่ะก็ ไม่ควรพลาด Big Urvan ใหม่ ที่มีให้เลือก 3 รุ่นดังนี้
Nissan NV350 Urvan ดีเซล ราคา 1,158,000 บาท
Nissan NV350 Urvan CNG MT ราคา 1,251,000 บาท
Nissan NV350 Urvan CNG AT ราคา 1,299,000 บาท

Nissan-Urvan-TestDrive_22

ขอขอบคุณ Nissan Motors ประเทศไทย

สำหรับรถทดสอบ Nissan NV350 Urvan ดีเซล คันนี้

ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver  9Carthai

Nissan-Urvan-TestDrive_02 Nissan-Urvan-TestDrive_01 Nissan-Urvan-TestDrive_04 Nissan-Urvan-TestDrive_05 Nissan-Urvan-TestDrive_06 Nissan-Urvan-TestDrive_09 Nissan-Urvan-TestDrive_11 Nissan-Urvan-TestDrive_13 Nissan-Urvan-TestDrive_14 Nissan-Urvan-TestDrive_15 Nissan-Urvan-TestDrive_17 Nissan-Urvan-TestDrive_18 Nissan-Urvan-TestDrive_20 Nissan-Urvan-TestDrive_21 Nissan-Urvan-TestDrive_22 Nissan-Urvan-TestDrive_23 Nissan-Urvan-TestDrive_24 Nissan-Urvan-TestDrive_25 Nissan-Urvan-TestDrive_26 Nissan-Urvan-TestDrive_27 Nissan-Urvan-TestDrive_30 Nissan-Urvan-TestDrive_31 Nissan-Urvan-TestDrive_32 Nissan-Urvan-TestDrive_34 Nissan-Urvan-TestDrive_35 Nissan-Urvan-TestDrive_36 Nissan-Urvan-TestDrive_38 Nissan-Urvan-TestDrive_39 Nissan-Urvan-TestDrive_40 Nissan-Urvan-TestDrive_41 Nissan-Urvan-TestDrive_42 Nissan-Urvan-TestDrive_43 Nissan-Urvan-TestDrive_44 Nissan-Urvan-TestDrive_45 Nissan-Urvan-TestDrive_46 Nissan-Urvan-TestDrive_47 Nissan-Urvan-TestDrive_48 Nissan-Urvan-TestDrive_49 Nissan-Urvan-TestDrive_50 Nissan-Urvan-TestDrive_51 Nissan-Urvan-TestDrive_53 Nissan-Urvan-TestDrive_54 Nissan-Urvan-TestDrive_55 Nissan-Urvan-TestDrive_56 Nissan-Urvan-TestDrive_57 Nissan-Urvan-TestDrive_58 Nissan-Urvan-TestDrive_59 Nissan-Urvan-TestDrive_60 Nissan-Urvan-TestDrive_61 Nissan-Urvan-TestDrive_62 Nissan-Urvan-TestDrive_63 Nissan-Urvan-TestDrive_64 Nissan-Urvan-TestDrive_65 Nissan-Urvan-TestDrive_66 Nissan-Urvan-TestDrive_67 Nissan-Urvan-TestDrive_68 Nissan-Urvan-TestDrive_69 Nissan-Urvan-TestDrive_70 Nissan-Urvan-TestDrive_71 Nissan-Urvan-TestDrive_72 Nissan-Urvan-TestDrive_73 Nissan-Urvan-TestDrive_74 Nissan-Urvan-TestDrive_75 Nissan-Urvan-TestDrive_77

Apollo Tyres ยางคุณภาพระดับ World Class ที่กล้ารับประกัน ความเสียหายทุกกรณี ถึง 2 ปี

$
0
0

Apollo Tyres ยางคุณภาพระดับ World Class ที่กล้ารับประกัน ความเสียหายทุกกรณี ถึง 2 ปี

Product Shot with 2yrs_resize

ยางรถยนต์ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่รถบนท้องถนน เพราะยางถือเป็นสิ่งเดียวที่ให้การยึดเกาะตัวรถกับพื้นถนนโดยตรง ดังนั้น การเลือกซื้อยางเพื่อใช้กับรถคู่ใจนั้นถือเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญยิ่ง

คุณ เคยไหม เวลาที่ตัวคุณเองขับขี่รถด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างดี แต่ทว่ากับต้องมาเจอเหตุการณ์อย่างเช่นตะปูตำ หรือ การถูกกระแทก บาดลึก จากเหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจหลบหลีกได้ นั่นคงทำให้คุณหงุดหงิดเป็นอย่างมาก แล้วะจะมีบ้างไหม ที่ยางยี่ห้อใดจะกล้ารับประกัน จากความเสียหายในการใช้งานของคุณได้มากถึง 2 ปี

คำตอบคือ “มีครับ” ในวันนี้ 9 carthai เราจะขอแนะนำยาง Apollo Tyres ซึ่งเป็นยางรถยนต์ประสิทธิภาพสูง ที่กล้ารับประกันความเสียหายจากอุบัติเหตุการใช้งานให้แก่ลูกค้านานถึง 2 ปีด้วยกัน

โดยส่วนมากประกันของตัวยางจะอยู่ที่ 4- 5 ปี ซึ่งจะเคลมได้เป็นลักษณะของเงินประกัน ไม่สามารถเคลมยางเส้นใหม่ได้ และใช้เวลาดำเนินการนาน กว่าจะได้เงินค่าประกัน

แต่ยาง Apollo ได้รับประกันความเสียหายจากการใช้งาน 2 ปี โดยสามารถ เคลมเปลี่ยนยางเส้นใหม่ได้เลยทันที ไม่ต้องรอ ซึ่งต้องลงทะเบียนทางเว็บไซต์ แต่หากไม่ได้ลงทะเบียน ยาง Apollo ก็ยังคงมีประกัน 5 ปี จากโรงงานเหมือนกับยางยี่ห้ออื่น

แล้วยาง Apollo Tyres มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน?

สำหรับ บริษัท อพอลโล ไทร์ส จำกัด เป็นบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ที่มีจำหน่ายในหลากหลายประเทศและเป็นแบรนด์ชั้น นำของประเทศอินเดีย ยางอพอลโลนั้นมีฐานการผลิตทั้งในประเทศอินเดียและเนเธอร์แลนด์และกำลังอยู่ ในระหว่างการจัดตั้งโรงงานใหม่ในฮังการี มูลค่ากว่า 475 ล้านยูโร ในปัจจุบัน บริษัท อพอลโล ไทร์ส ดำเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์หลักระดับโลกสองแบรนด์คือ อพอลโลและเฟรเดอสไตน์ ซึ่งมีวางจำหน่ายในกว่า 100 ประเทศทั่วโลกผ่านทางเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายต่างๆซึ่งบริการสินค้าที่มีความ หลากหลาย โดยได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบริษัทโดยตรง

ดัง นั้นจึงให้ความมั่นใจในศักยภาพของยาง Apollo ได้ โดยตัวขึ้นชื่อในด้านสมรรถนะดี เกาะถนน รวมไปมอบความสะดวกสบายในการขับขี่ จากความนุ่ม เงียบ ที่จะได้รับ

ไม่ต้องกลัวว่า ยางที่มีคุณสมบัติทั้งด้านสมรรถนะ และความสบายในการขับขี่ จะเป็นยางที่มีราคาแพงเสมอไป เพราะยาง Apollo มากับราคายางที่จะค่อนข้างถูก หากเปรียบเทียบกับยางยี่ห้ออื่น ที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกัน แต่มีความน่าเชื่อถือ ไว้ใจได้ไม่แพ้กัน

ยาง Apollo ถือเป็นยางระดับ World Class จนได้รับการเป็น Partnership กับทีม Manchester United พร้อมออกยางรุ่นพิเศษ Apollo Manchester United ยางแบบ Limited Edition มีจำนวนจำกัด ผสานความเท่ระดับตำนานของสโมสร ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ลงบนแก้มยางที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

การที่สโมสรระดับโลก เช่น แมนยูฯ ให้ความมั่นใจ ในศักยภาพ ของยาง Apollo จนทำยางรุ่นพิเศษออกมานี้

ต้อง ถือได้ว่า ยาง Apollo ให้สมรรถนะ และการควบคุมที่ดีเยี่ยม ไม่แพ้กับนักเตะแมนยูฯ ที่มีสมรรถนะในการควบคุมเกมฟุตบอล และควบคุมลูกบอกได้อย่างแม่นยำ ซึ่งให้ความมั่นใจได้ว่ายาง Apollo ถือเป็นยางในระดับเวิร์ลคลาส เฉกเช่นเดียวกับทีม Manchester United

Apollo Manchester United เป็นยางไซส์ขนาด 195/65/R15 ซึ่งดีไซน์ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้งานรถยนต์ขนาดเล็กในกลุ่ม A และ B Segment

128

นอกจากนี้ยาง Apollo ยังมั่นใจในประสิทธิภาพ จนกล้ารับประกันตัวยางจากความเสียหายในทุกกรณี เป็นระยะเวลา 2 ปี นอกเหนือจากการรับประกัน 5 ปีจากผู้ผลิต ไม่ว่าจะเกิดจากการกระแทก – บาด – ตำ หรือได้ความเสียหายอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ ลูกค้ายาง Apollo สามารถเคลมได้หายห่วง ขับรถออกจากร้านตัวแทนจำหน่ายพร้อมเปลี่ยนยาง Apollo เส้นใหม่ ได้แบบสบายใจไร้กังวล

ทั้งหมดนี้ถือได้ว่า ยางอพอลโล นับเป็นที่สุดแห่งสมรรถนะ ระดับ World Class ที่กล้าการันตีความเสียหายในแบบที่ไม่มียางยี่ห้อไหนกล้ารับประกัน

สำหรับผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติม https://www.facebook.com/ApolloThai

Suzuki Ciaz GLX CVT รถ Sedan ไซส์ใหญ่ นั่งสบายกว่าใคร

$
0
0

Suzuki Ciaz GLX CVT รถ Sedan ไซส์ใหญ่ นั่งสบายกว่าใคร

review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_010

สวัสดีครับแฟนๆ 9carthai ของเราที่กำลังมองหารถยนต์นั่งสักคันหนึ่งมาไว้เป็นรถคู่ใจซึ่งต้องให้ความสะดวกสบายในการเดินทาง พร้อมพื้นที่โดยสารที่กว้างขวางซึ่งทางเราจะต้องขอนำเสนอรถคันนี้ Suzuki Ciaz GLX CVT ใหม่ที่ได้ชื่อชั้นการการันตีว่า เป็นรถยนต์ที่มีพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวางพร้อมมอบความสุนทรีย์ในการเดินทางให้อย่างมีระดับ/ ซึ่งวันนี้เราจะขอมาพิสูจน์ให้เพื่อนได้รับชมกันกับ Suzuki Ciaz GLX CVT สีน้ำตาล Dignity Brown Pearl Metallic คันนี้ ราคาเริ่มต้นเพียง 484,000 บาท

review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_139

Suzuki Ciaz มีความยาว 4,490 มม. กว้าง 1,730 มม. สูง 1,485 มม.ระยะฐานล้อ 2,650 มม. ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนี้บ่งบอกว่า Suzuki Ciaz มีมิติรถในระดับเดียวกับรถยนต์ Compact (C-Segment) Car หรือพูดง่ายๆไม่มีรถยนต์ใน segment เดียวกัน คันใดที่มีขนาดมิติใหญ่เท่ากับ Suzuki Ciaz ได้เลย

review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_113

แต่เห็นขนาดตัวใหญ่แบบนี้ น้ำหนักตัวไม่ได้มากนะ Suzuki Ciaz GLX มีน้ำหนักเพียงแค่ 985/1,005 (รวมอุปกรณ์) กก. เท่านั้น หากเทียบกับคู่แข่งคันอื่นที่ขนาดตัวเล็กกว่า แต่ Ciazกลับมีน้ำหนักเบากว่า

review-suzuki-ciaz-Mix-Exterior_resize

การดีไซน์รถ Suzuki Ciaz ได้เป็นรถยนต์นั่งที่มีความหรูหรากว่าใครจากการใช้ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ มาพร้อมกระจังหน้าโครเมี่ยมซึ่งดูรับกันได้เป็นอย่างดี ขณะที่ด้านล้างกันชนมีไฟตัดหมอกติดตั้งมาให้เป็นพื้นฐานของรถยนต์นั่งในปัจจุบันขณะที่ด้านข้างแม้จะดูเรียบ แต่ก็แฝงความหรูจากไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง, มือจับประตูโครเมียม พร้อมระบบ Keyless ที่ช่วยให้คุณเปิดประตูรถได้โดยไม่ต้องหยิบกุญแจออกมา ให้ความความสะดวกสบาย ในส่วนด้านท้ายไฟท้ายที่ดูเรียบหรูแบบแยก 2 ชิ้นโดยเชื่อมต่อกับคิ้วโครเมี่ยมคาดกลางที่ฝากระโปรงท้ายขณะที่ชายสเกิร์ตล่างมีไฟทับทิมติดตั้งมาด้วยให้ความรู้สึกหรูราวกับมีการติดตั้งไฟตัดหมอกท้ายมาให้

จุดขายที่น่าประทับใจมาก คือ ที่เก็บสัมภาระฝากระโปรงท้าย กว้างใหญ่ถึง 565 ลิตร ซึ่งความจุระดับนี้เทียบเท่ารถระดับ D-Segment ได้เลยต่อไปนี้ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปท่องเที่ยวเป็นครอบครัวหรือจะใช้ขนของช๊อปปิ้ง ก็ไร้กังวล เรื่องพื้นที่เก็บสัมภาระไปได้เลย

review-suzuki-ciaz-glx-Mix-Interior_resize

เมื่อชื่นชมความงามหรูหราภายนอกแล้วเรามาต่อด้วยการชมห้องโดยสารภายในซึ่งเปิดประตูออกด้วยระบบ Keyless ผ่านกุญแจรีโมท โดยกดปุ่มสีดำที่มือจับประตู ก็จะปลดล๊อกออกโดยง่ายภายในห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วยสีดำตัด ตัดด้วยTrim สีเงินที่บริเวณคอนโซลหน้าเน้นความเรียบง่าย ออปชั่นต่างๆให้มาในระดับที่ควรมี ทั้งปุ่ม Push Start ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พวงมาลัย 3 ก้านหุ้มหนัง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัยและปุ่มควบคุมโทรศัพท์ผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth ถัดจากแผงเครื่องปรับอากาศจะพบช่องเก็บของขนาดใหญ่ ซึ่งกดเลื่อนเปิด-ปิดได้มีที่เสียบจ่ายไฟ 12 โวลต์ และที่เสียบ USB/AUX ที่สามารถฟังเพลงได้อย่างสบายไร้กังวลอีกทั้งยังสามารถชาร์จโทรศัพท์ Smartphone ได้ตลอดการเดินทางอีกด้วย

Mix

ภายในรถมีที่วางขวดน้ำได้ 2 ขวดขณะที่ตำแหน่งวางขวดน้ำทั้งสิ้นในรถคันนี้มีมากถึง 8 ตำแหน่ง (ที่ประตูทั้ง 4 บาน + ที่เท้าแขนเบาะหลัง 2 ขวด + ช่องวางของด้านหน้า 2 ขวด)

review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_085

ภายในห้องโดยสารนี้หากใครได้มาลองนั่งจะต้องพบว่าพื้นที่วางขากว้างขวางนั่งสบายเกินกว่ารถในระดับ Compact Car หลายคัน ซึ่งผู้โดยสารที่มีส่วนสูงระดับ 180 ซม.สามารถนั่งได้ 3 คน โดยไม่อึดอัด นอกจากนี้หากมีผู้โดยสารนั่งเบาะหลังเพียง 2 คน จะสามารถนั่งไขว้ห้าง ได้อย่างสบายๆ ไม่อึดอัดแต่อย่างใดซึ่งการันตีได้ถึงพื้นที่ Leg Room ที่มีมากเกินกว่ารถยนต์ segment เดียวกัน

review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_110

นอกจากนี้การเก็บเสียงก็ยังทำได้ยอดเยี่ยมกว่ารถ Compact Car ในหลายรุ่นซึ่งได้ผลมาจากการใช้วัสดุซับเสียงเก็บรายละเอียดตามจุดต่างๆ ซึ่ง Suzuki ได้ใส่ใจถึงความสุนทรีย์ในการเดินทางอีกด้วยให้คุณซึมซับคุณภาพของเครื่องเสียงที่มาพร้อมลำโพง 4 ตำแหน่ง และทวีตเตอร์อีก 2 ตัว ได้อย่างเต็มที่

review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_088

ขณะที่ระบบขับเคลื่อนของ Suzuki Ciazเป็นเครื่องยนต์บล๊อกK12B จาก Suzuki Swift มีความจุ 1.25 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้า@ 6,000rpm และแรงบิดสูงสุด 118Nm@4,800rpm รองรับน้ำมัน E20 ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT

review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_028

ซึ่ง Ciaz ยังคงมอบความสะดวก สบายในการขับขี่ ไม่แม้ห้องโดยสาร ทั้งคันเร่งและการเปลี่ยนเกียร์ที่ทำได้อย่างสมูทนิ่มนวล ไม่ว่าคุณจะขับขี่มันในเมือง หรือ เดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัด Suzuki Ciazก็ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว จากความสะดวกสบายในการโดยสารได้เป็นอย่างดี

review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_053

นอกจากนี้ แม้ว่าขนาดตัวรถจะมีขนาดใหญ่แต่มีการใช้ขุมพลังเครื่องยนต์จาก Suzuki Swift ที่ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ดี ยังคงตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม สามารถเร่งแซงในจังหวะที่ต้องการรีดกำลังเครื่องออกมาได้อย่างเหมาะสมแม้จะเป็นที่มีขนาดตัวใหญ่ที่สุดก็ตามแต่มันสามารถวิ่งทะยานความเร็วสูงได้ถึงระดับ 160 กม./ชม. ได้อย่างสบายและมีความเร็วปลายแตะระดับ 180 กม./ชม. เลยทีเดียว

สำหรับด้านความประหยัด Ciaz ก็ทำได้ดีในระดับเดียวกันกับที่ Suzuki Swift จะทำได้ และถ้าหากคุณมองหารถที่มีตัวถังใหญ่ในระดับนี้จะไม่มีรถคันไหนที่ให้ความประหยัดได้เท่ากับ Suzuki Ciazอีกแล้วเพราะหากคุณขับขี่ท่องเที่ยวเดินทางไกล น้ำมันครึ่งถังนั้นจะวิ่งไปได้ถึง 330 กม. เลยทีเดียว (น้ำมัน E20) นั่นหมายความว่าหากคุณเดินทางแบบชิลๆเน้นความสบาย น้ำมัน 1 ถัง คุณจะวิ่งไปได้ไกลมากกว่า 600 กม. อย่างแน่นอน

review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_022

ในด้านความสะดวกสบายในการขับขี่จุดอื่นๆ จะพบว่า พวงมาลัยของ Suzuki Ciazได้ถูกปรับตั้งใหม่ เอาใจผู้ชื่นชอบความเบาสบายมากยิ่งขึ้นจนสามารถใช้นิ้วเพียงแค่ 2 นิ้วหมุนสาวพวงมาลัยขณะจอดรถได้อย่างง่ายดายต้องขอบคุณระบบพวงมาลัยผ่อนแรงไฟฟ้า ใหม่ วงนี้ด้วยที่ทำให้รถที่มีขนาดตัวใหญ่เช่นนี้สามารถเคลื่อนรถได้อย่างคล่องตัวพริ้วไหว

review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_126

ขณะที่ช่วงล่างของ Ciaz นี้ต้องนับได้ว่าเป็นรถยนต์ที่นั่งสบายที่สุดที่เคยมีมาช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวล และซับแรงได้ดีเยี่ยมพร้อมความแน่นเฟิร์มในช่วงจังหวะขับผ่านทางขรุขระแต่ไม่ต้องกลัวว่ารถที่มีอาการช่วงล่างนิ่มจะไม่เกาะถนน เพราะว่า Ciazนี้มีความยาวฐานล้อมากถึง 2,650 มม.ช่วยให้มันเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้นแถมการขับขี่ในทางโค้งดูจะให้ความสนุกสนานมากยิ่งกว่าทั้งจากพวงมาลัยที่ควบคุมได้ง่ายและระยะฐานล้อที่กว้างทำให้การขับเข้าโค้งทำได้อย่างมั่นใจ

Suzuki-Ciaz_resize

รวมไปถึงการชะลอความเร็ว เบรกของ Ciazยังคงทำงานได้ดี การหยุดรถหรือชะลอความเร็วให้ฟีลลิ่งน้ำหนักแป้นเบรกที่ทำได้แม่นยำไม่ทื่อเหมือนกับแป้นเบรกรถคันอื่นๆ รวมไปถึงตัวรถที่มีขนาดกว้างในแทบทุกมิติ จึงทำให้ Brake Balance นั้นมั่นคงดีเยี่ยมแม้ในจังหวะที่ต้องเบรกหนักก็ตามที

review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_007

บทสรุป Suzuki Ciazเป็นรถที่ตอบโจทย์ผู้มองหารถยนต์ 4 ประตูแบบครอบครัว กว้างขวาง สะดวกนั่งสบาย ดีไซน์หรู แต่ประหยัดน้ำมัน  พร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่ไว้ใจได้จาก Suzuki ต้องถือว่า Suzuki Ciaz GLX ใหม่นี้ ตอบสนองผู้ที่มี Lifestyle ในการเดินทางที่เน้นความสะดวกสบายอย่างแท้จริง

review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_144

Suzuki Ciaz มีรุ่น และราคาดังนี้
GLX CVT ราคา 625,000 บาท *รุ่นที่ใช้ในการทดสอบ
GL CVT ราคา 559,000 บาท
GL MT ราคา 523,000 บาท
GA MT ราคา 484,000 บาท

review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_001 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_002 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_003 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_004 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_006 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_007 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_008 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_009 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_014 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_015 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_019 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_021 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_022 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_023 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_025 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_028 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_030 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_032 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_033 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_034 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_037 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_038 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_039 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_040 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_043 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_046 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_048 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_049 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_051 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_052 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_053 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_056 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_057 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_060 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_061 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_062 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_063 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_064 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_066 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_067 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_068 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_069 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_070 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_071 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_072 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_073 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_075 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_076 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_077 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_078 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_079 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_080 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_081 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_082 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_083 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_084 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_085 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_086 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_089 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_090 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_091 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_092 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_093 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_094 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_095 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_096 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_099 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_100 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_101 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_102 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_103 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_104 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_108 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_109 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_110 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_111 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_113 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_114 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_115 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_117 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_118 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_119 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_121 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_122 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_123 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_124 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_125 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_126 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_129 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_130 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_132 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_133 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_134 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_135 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_137 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_138 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_139 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_140 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_142 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_143 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_144 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_145 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_146 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_147 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_148 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_149 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_151 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_153 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_154 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_155 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_156 review-suzuki-ciaz-glx-9carthai_PON_157

รีวิวทดสอบยางใหม่ Michelin Primacy SUV นุ่ม เงียบ เกาะถนน ปลอดภัย

$
0
0

รีวิวทดสอบยางใหม่ Michelin Primacy SUV  นุ่ม เงียบ เกาะถนน ปลอดภัย เพื่อรถ SUV, PPV และ Pick Up โดยเฉพาะ

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_060

เมื่อวันที่ 11 ตค. ที่ผ่านมานี้ บริษัท สยามมิชลิน จำกัด ได้จัดกิจกรรมเชิญสื่อมวลชน และกลุ่ม Car Club เข้าร่วมทดสอบสมรรถนะสินค้าใหม่ อย่าง ยาง Michelin Primacy SUV ยางตระกูล Primacy สำหรับรถ SUV และ Pick UP ซึ่ง 9carthai ของเราก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_028

ในกิจกรรมการทดสอบสมรรถนะยาง Michelin Primacy SUV ใหม่ นี้ได้จัดขึ้นที่ รันเวย์สนามบิน แรนโช่ ชาญวีร์ รีสอร์ท ที่พักในเขาใหญ่
โดยก่อนจะเข้ามาในส่วนของการทดสอบ เราต้องขอพูดเพื่อให้ทุกท่านได้รู้จักกับตัวยาง Primacy SUV ใหม่ กันเสียก่อน

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_013

ยาง Primacy SUV ชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า เป็นยางที่ดีไซน์มาเพื่อตอบโจทย์ให้แก่รถ SUV โดยเฉพาะ ซึ่งนั่นรวมไปถึงรถ Pick Up และรถ PPV ด้วย

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_064

  • เทคโนโลยี Flexmax 2.0 เป็นเทคโนโลยีของเนื้อยางใหม่ ที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับตัวเข้ายืดจับผิวถนนอย่างเต็มประสิทธิภาพ การออกแบบดอกยางแบบตัดมุมช่วยลดการบิดตัวและป้องกันการโก่งตัวของดอกยาง จึงทำให้ยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_044

  • เทคโนโลยี StabiliGrip คือ เทคโนโลยี ใหม่ของ Michelin ที่ช่วยป้องกันการล้มตัวของร่องดอกยาง และเพิ่มประสิทธิภาพการยืดเกาะแล้ว ด้วยดีไซน์ใหม่ที่ออกแบบเป็นปุ่มยางเสริมในร่องบาก แทนที่แบบอื่นๆ ที่เป็นเส้นแถบแบบยาว จึงทำทำให้ดอกยางรีดน้ำและระบายน้ำได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_005

  • เทคโนโลยี CushionGuard แก้มยางโค้งมนช่วยซึมซับแรงกระแทกได้ดีกว่าพร้อมกับชั้นผ้าใบเสริมพิเศษช่วยดูดซับแรงสั่นจากการกระแทก เนื้อยางพิเศษช่วยกรองแรงสั่นสะเทือนและลดเสียงรบกวนไม่ให้ผ่านถึงห้องโดยสาร

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_065

  • เทคโนโลยี EvenPeak ด้วยการออกแบบขนาด และตำแหน่งลายดอกยาง ให้มีแตกต่างกัน จึงช่วยตัดเสียงรบกวน

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_033

  • โครงสร้างยางของ Primacy SUV มีความแข็งแรง ด้วยการเสริมเส้นใยไนลอนพิเศษ 2 ชั้น เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของโครงยาง

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_029

สำหรับในด้านการทดสอบนี้ได้แบ่งการทดสอบ ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

  1. Wet Test
  2. Dry Test
  3. Rally

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_059

Wet Test นั้น จะเป็นการทดสอบให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการเบรกที่สั้นกว่ายางคู่แข่ง และ การยึดเกาะในทางโค้งบนถนนเปียกที่ดีกว่าคู่แข่ง โดยจะมีรถยนต์ Honda CR-V 2.0 ทั้ง 2 คันให้ทดสอบ โดยสวมยาง Michelin Primacy SUV และ ยางคู่แข่ง

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_069

  1. การทดสอบระยะเบรก เริ่มวิ่งออกตัวบนทางตรงจนไปถึงราว 85 กม./ชม. ก่อนที่จะยกคันเร่ง และกระทืบเบรก เพื่อวัดระยะเบรกจาก 80 กม./ชม. – 20 กม./ชม. บนพื้นถนนเปียก ด้วยเครื่อง V-Box

คำถาม คือ ทำไมไม่วัดจนเป็น 0 หยุดนิ่ง เราได้คำตอบว่า เพื่อป้องกันการคาดเคลื่อนจาก การทำงานของระบบเบรก ABS ของรถ ทั้ง 2 คันที่อาจจะทำงานได้ไม่เท่ากัน ขณะลื่นไถลบนพื้นเปียกนั่นเอง จึงนับถึงระยะความเร็วแค่ 20 กม./ชม.

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_067

ค่าที่ 9carthai เราได้ทดสอบจะอยู่ที่ 27.9 ม. (Michelin Primacy SUV) และ 31.5 ม. (ยางคู่แข่ง) จะเห็นได้ว่าของ Michelin จำได้ระยะสั้นกว่าคู่แข่งราว 3.6 ม. เลยทีเดียว

ขณะที่ผลจากการทดสอบด้านความปลอดภัย พบว่ายาง Primacy SUV มีระยะเบรกสั้นกว่า 2.3 เมตรบนถนนเปียก เมื่อเทียบกับคู่แข่งชั้นนำ

*ทดสอบโดย CATARC ประเทศจีน ปี 2015 เปรียบเทียบระยะเบรกบนถนนเปียก ด้วยรถยนต์ Honda CR-V 2.0 VVT ใช้ยางไซส์ 225/65 R17 ลมยางที่ 30 psi

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_058

  1. การทดสอบสมรรถนะในการเข้าโค้ง โดยให้ขับวนเป็นวงกลม อย่างช้าๆ และค่อยเพิ่มความเร็วจนรถหลุดออกจากแนวระนาบ และวัดค่าแรง G Lateral ที่ได้ก่อนจะหลุดโค้ง และความเร็วสุดท้ายก่อนจะหลุดโค้ง โดยใช้เครื่อง V-Box ในการจับเช่นกัน

ซึ่งทาง 9carthai เราได้ 0.81 (Michelin Primacy SUV) และ 0.76 (ยางคู่แข่ง) ซึ่งยาง Michelin สามารถเข้าโค้งได้หนักกว่า คิดเป็นส่วนต่างถึง 7% เลยทีเดียว  ส่วนความเร็วสุดท้ายก่อนหลุดโค้งเราได้ที่ 43 กม./ชม. เท่ากันทั้ง 2 คัน

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_068

ขณะที่ผลการทดสอบ พบว่าการเข้าโค้งของยาง Primacy SUV ทำได้อย่างแม่นยำบนถนนเปียกลดการลื่นไถลได้ดีกว่ายางคู่แข่งชั้นนำ 10%

*ทดสอบโดย CATARC ประเทศจีน ปี 2015 เปรียบเทียบแรงต้านหนีศูนย์ในการเข้าโค้งเปียก ด้วยรถยนต์ Honda CR-V 2.0 VVT ใช้ยางไซส์ 225/65 R17 ลมยางที่ 30 psi

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_104

เมื่อเสร็จสิ้นจะมาต่อที่การทดสอบบนพื้นผิวแห้ง Dry Test ซึ่ง Station นี้จะแบ่งออกเป็นการทดสอบในส่วนของ Comfort Riding ได้แก่การทดสอบความเงียบ และการทดสอบความนุ่มนวลของยาง และ สมรรถนะการยึดเกาะบนพื้นผิวแห้ง และการวัดระยะเบรก

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_081

  1. Comfort Riding จะทดสอบด้วยรถยนต์ Subaru Forester 2.0i ทั้ง 2 คันซึ่งสวมยาง Primacy SUV และยางคู่แข่ง

โดยเริ่มต้นการทดสอบความเงียบ โดยเร่งเครื่องไปที่ความเร็ว 60 กม./ชม. ก่อนที่จะผลักคันเกียร์เข้าที่ตำแหน่งเกียร์ N เพื่อไม่ให้เสียง Engine เข้ามารบกวน ผู้เขียนพบว่าความเงียบของรถทั้ง 2 คันที่ได้นั้นไม่แตกต่างกัน

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_099

ต่อมาทดสอบความนุ่ม จากการขับผ่านเส้นเชือกที่ขึงไว้จำลองรอยต่อถนนที่ความเร็ว 40 กม./ชม. ซึ่งผู้เขียนพบว่ารถคันที่สวมยาง Primacy SUV จะนุ่มกว่าเล็กน้อย สัมผัสจากแรงสะเทือนที่มีต่อแผ่นหลังและสะโพก

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_122

  1. การทดสอบการยึดเกาะถนนบนพื้นผิวที่แห้ง ด้วยการ Slalom, Lane Change และ ปล่อยรถไหลเข้าวงกลม U-Turn ที่ความเร็ว 40 กม./ชม. ด้วยรถ Honda CR-V 2.0 ทั้ง 2 คันแบบเดียวกับที่ทดสอบใน Wet Test

ซึ่งในส่วนนี้ผู้เขียนจับอาการรถได้ว่าในช่วง Slalom คันที่ใส่ยาง Primacy SUV จะมีอาการลื่นไหล ออกน้อยกว่ายางคู่แข่ง ในขณะที่ช่วง Lane Change และ U-Turn จะไม่พบความแตกต่างกัน

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_107

  1. การทดสอบระยะเบรกบนพื้นถนนแห้ง จะทำเช่นเดียวกันกับ การทดสอบเบรกบนพื้นถนนเปียก แต่จะมีจุดที่แตกต่างกัน ก็คือ จะจับความเร็วจาก 80 กม./ชม. จนหยุดนิ่งที่ 0 โดยใช้เครื่อง V-Box เช่นกัน

ซึ่งค่าที่ได้ของกลุ่มเราจะอยู่ที่ 27.7 ม. (Primacy SUV) และ 26.2 ม. (ยางคู่แข่ง) ซึ่งยาง Michelin นี้จะมีระยะเบรกที่สั้นกว่าคู่แข่งอยู่ 1.5 ม. ด้วยกัน

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_131

ขณะที่ผลการทดสอบของทาง Michelin จะพบว่าระยะเบรกของ Primacy SUV สั้นกว่า 3.5 เมตรบนถนนแห้ง เมื่อเทียบกับคู่แข่งชั้นนำ

*ทดสอบโดย CATARC ประเทศจีน ปี 2015 เปรียบเทียบระยะเบรกบนถนนแห้ง ด้วยรถยนต์ Honda CR-V 2.0 VVT ใช้ยางไซส์ 225/65 R17 ลมยางที่ 30 psi

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_141

ในส่วนของกิจกรรมในช่วงบ่ายแบบ Rally ที่เดินทางเป็นคาราวานนั้น จะเป็นลักษณะของการขับรถเล่มเกม หา RC ตามจุดต่างๆ ซึ่งไม่สามารถใช้ชี้วัดผลการทดสอบสมรรถนะของยางได้ เนื่องจาก การทดสอบนั้นจะมีรถอยู่หลากหลายรุ่น อาทิ Chevrolet Trailblazer, Nissan X-Trail, Honda CRV, Mazda CX-5 Toyota Fortuner, Lexus NX300h และ Volvo XC60 ซึ่งสวมยาง Michelin Primacy SUV ในการทดสอบทุกคัน

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_009

สรุปแล้ว ยาง Michelin Primacy SUV ใหม่ เป็นยางที่ออกแบบมาสำหรับรถในกลุ่ม SUV, PPV และ Pick Up ถือได้ว่าเป็นยางที่มีเทคโนโลยีครบครัน ที่ช่วยทั้งด้านสมรรถนะการยึดเกาะ ทั้งบนพื้นผิวแห้ง หรือ เปียก รวมไปถึงความสบายในการขับขี่จากความนุ่มนวล ซึ่งมีผลการทดสอบที่ยืนยันได้จาก CATARC และค่าที่ได้จากการทดสอบของเราก็ถือว่าน่าประทับใจไม่น้อย ซึ่งผู้ที่สนใจอยากยกระดับรถ SUV, PPV หรือ Pick Up คันโปรดของคุณ เพื่อตอบโจทย์ Lifestyle การใช้งานที่ดี สามารถสัมผัสกับสมรรถนะของ Michelin Primacy SUV ได้ โดยยางจะมีขนาดตั้งแต่ขอบ 15–18”
โดยสามารถซื้อได้ที่ตัวแทนจำหน่ายยาง Michelin ทั่วประเทศ

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_063

ขอขอบคุณ สยามมิชลิน สำหรับทริปทดสอบยาง Michelin Primacy SUV ในครั้งนี้
ภณ เพียรทนงกิจ

Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_002 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_003 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_004 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_005 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_006 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_008 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_009 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_010 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_011 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_012 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_013 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_014 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_015 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_016 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_017 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_018 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_019 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_020 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_021 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_022 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_024 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_025 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_026 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_027 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_028 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_029 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_030 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_031 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_032 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_033 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_034 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_035 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_036 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_037 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_038 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_042 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_043 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_044 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_045 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_046 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_047 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_048 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_054 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_055 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_056 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_057 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_058 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_059 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_060 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_061 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_062 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_063 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_064 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_065 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_066 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_067 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_068 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_069 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_070 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_071 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_072 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_073 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_074 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_075 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_076 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_080 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_081 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_098 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_099 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_102 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_103 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_104 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_107 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_110 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_112 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_116 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_117 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_122 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_124 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_127 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_129 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_130 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_131 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_132 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_135 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_137 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_141 Michelin-Primacy-SUV-Test-9carthai_143

รีวิว Mazda2 Skyactiv-D XD Sport High Plus แรง ประหยัด ขับสนุก ที่สุดใน Eco Car

$
0
0

รีวิว Mazda2 Skyactiv-D XD Sport High Plus แรง ประหยัด ขับสนุก ที่สุดใน Eco Car

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_38

เมื่อปลายปีที่แล้วทาง มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ได้เปิดตัว Mazda2 ใหม่ ณ โรงงาน AAT ระยอง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเปิดตัวรถยนต์คันแรกใน Eco Car เฟส 2

ซึ่งตัวผู้เขียนเองเคยได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมทดสอบรถ Mazda2 Skyactiv-D ใหม่ ในรุ่น Hatchback  5 ประตู ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร Clean Diesel เป็นครั้งแรกในเมืองไทยกับรถยนต์ B-Car ณ สนามโบนันซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งในวันนี้ทาง 9carthai ของเราจะขอมารีวิวสมรรถนะการใช้งานจริงบนถนนกันดูบ้าง ว่าจะดีสมราคาค่าตัวที่แพงที่สุดใน Eco Car หรือไม่กับ Mazda2 Skyactiv-D XD Sport High Plus สีขาวมุก SnowFlex ราคา 7.9 แสนบาทคันนี้

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_37

ดีไซน์ภายนอก Mazda2 Skyactiv ใหม่นี้ ยังคงเดินตามรอย KODO Design ทั้งเส้นสายไฟหน้า, ไฟท้าย, กระจังหน้า

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_11

สำหรับ Mazda2 Skyactiv รุ่นที่จำหน่ายในประเทศ จะยังคงใช้ไฟหน้ามัลติรีเฟล็กเตอร์แบบฮาโลเจน ได้ถ่ายทอดแรงบรรดาลใจมาจากเสือชีต้าร์ ซึ่งเราคาดว่าหากผู้สนใจอยากได้แบบโปรเจ็คเตอร์เหมือนตัวขายที่ต่างประเทศ อาจต้องรอล๊อต Minorchanged

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_13

กระจังหน้ารูปทรง 5 เหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ของ KODO Design นี้ ได้ใส่ลูกเล่นแถบคาดกลางที่หุ้มลายเคฟล่า มอบความสปอร์ตดุดันมากยิ่งขึ้น

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_84

โดยในล๊อตจำหน่ายนี้ยังสวมล้ออัลลอยขอบ 16” รัดยาง Dunlop  Enasave EC300+

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_28

ในคันที่เราได้มาทดสอบนี้เป็นโฉม Hatchback 5 ประตู ซึ่งหากมองไกลๆ ดูแบบเผินๆแล้วมิติรถจะดูใกล้เคียงกับโฉมเก่า รวมถึงรูปลักษณ์ทางด้านท้ายที่ดูจะไม่แตกต่างกันมากนัก โดยมีความกว้างxยาวxสูง = 1,695x 4,060×1,500 มม. มีระยะฐานล้อ 2,570 มม. มีถังน้ำมันจุ 44 ลิตร มีน้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 1,129 กก.

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_74

ภายในห้องโดยสาร เมื่อเปิดประตูห้องโดยสารด้วยระบบ Keyless เข้ามาจะพบห้องโดยสารที่ให้ความสปอร์ตและทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยได้ถ่ายทอดกลิ่นอายมาจาก Mazda3 Skyactiv ใหม่ ทั้งในด้านการดีไซน์ และออปชั่นต่างๆ

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_67

เริ่มตั้งแต่ใช้โทนสีดำในการตกแต่งพร้อม trim เคฟล่า ร่วมกับการออกแบบที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางทำให้ตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์การใช้งานเป็นไปอย่างเหมาะสม

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_80

เบาะหนังผสมผ้าซึ่งมีลายปักสีแดงพาดกลาง พร้อมเดินด้ายแดงช่วยเพิ่มความสปอร์ต,

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_47

ปุ่ม Pushstart, เครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ, หน้าจอ Center Display ที่รับคำสั่งผ่านแป้นสวิทช์ตรงกลาง Center Commander ช่วยให้การใช้งานเป็นไปด้วยความสะดวก โดยรองรับระบบ Infotainment สามารถเล่น CD/MP3 รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมปุ่มรับ-วางบนพวงมาลัย ช่องเสียบ USB 2 Slot, AUX in, SD Card สำหรับติดตั้งระบบนำทางเพิ่มเติม โดยจะถ่ายทอดกำลังเสียงผ่านลำโพง 6 ตัว

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_54

นอกจากนี้ยังมีปุ่ม DSC, i-Stop ฝังมาให้ที่แผงคอนโซลหน้าทางด้านความมือของพวงมาลัย (สเป็กส่งออกจะมีปุ่มฟังก์ชั่น Blind Spot ด้วย) ขณะที่ Cockpit ผู้ขับใช้พวงมาลัย 3 ก้านแบบสปอร์ตที่ตกแต่งด้วยแถบเคฟล่า และTrim Metallic มาพร้อมสวิทช์ทางฝั่งซ้ายในการควบคุมเครื่องเสียง (ซึ่งสามารถสั่งงานผ่าน Center Commander ได้เช่นกัน)  ขณะที่ด้านบนมาตรวัด จะมีจอ Active Driving Display สำหรับบอกความเร็วเป็นตัวเลขดิจิตัล ขณะที่มาตรวัดจะเป็นรูปแบบเช่นเดียวกับ Mazda3 แต่จะแตกต่างกันตรงที่ Skyactiv-D รอบเครื่องยนต์จะต่ำกว่าเนื่องจากเป็นเครื่องดีเซล

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_70

เบาะด้านหลังสามารถพับได้แบบ 60:40 พร้อมถาดรองวางของที่ห้องเก็บสัมภาระท้าย

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_57

จากการลองนั่งขับใช้งานเราพบว่า Mazda2 ยังคงออกแบบห้องโดยสารที่เป็นมิตรกับผู้ขับขี่ได้ดี ทั้งปุ่มการใช้งานต่างๆ อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม พร้อมเบาะรูปลักษณ์สปอร์ตที่โอบกระชับลำตัว ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างสบายไม่เมื่อยล้าเมื่อต้องขับขี่เดินทางไกล

mazda2-Skyactiv-Back-Seat

แต่ต้องยอมรับเรื่องของพื้นที่โดยสารตอนหลังที่ค่อนข้างแคบตามสไตล์ของ Mazda

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_61

และอีกจุดที่ประทับใจ ก็คือแป้นคันเร่งแบบยึดที่พื้น ในแบบฉบับรถยุโรป ซึ่งช่วยให้การกดเติมคันเร่งดูจะตอบสนองได้ดีกว่าแบบยึดทางด้านบน

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_66

ขุมพลังเครื่องยนต์ Skyactiv-D 1.5 ลิตร เป็นเครื่องยนต์ Clean Diesel ที่จับคู่กับเกียร์ Skyactiv-Drive 6 Speed
มอบกำลัง 105 แรงม้า (PS)@4,000rpm  และแรงบิดที่มากกว่าใครถึง 250Nm@1,500-2,500rpm ซึ่งแรงบิดสูงในระดับรถยนต์เบนซิน 2.5 ลิตรเลยก็ว่าได้

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_14

ในการขับขี่นั้น ด้วยสไตล์ของคันเร่งแบบ Drive by Wire จะพบว่า ยังมีอาการหน่วงในจังหวะเหยียบคันเร่งอยู่เล็กน้อย การออกตัวทำได้ดีตามแบบฉบับรถดีเซล ทอร์คหนัก ออกตัวกดคันเร่งมิด อาจมีได้ยินเสียงเอี๊ยด หากคุณปิดระบบ DSC

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_31

แรงบิดมีมาให้ใช้อย่างเพียงพอตั้งแต่รอบต่ำ เมื่อเหยียบคันเร่งมิดเครื่องยนต์จะลากรอบขึ้นไปสูงถึงราว 4,000rpm ก่อนที่จะเปลี่ยนขึ้นเกียร์ให้ ซึ่งจะได้รับอารมณ์เร้าใจแบบเล็กๆ แต่เนื่องจากเป็นเกียร์ Skyactiv-Drive ที่ตอบสนองได้อย่างไหลลื่น และต่อเนื่องจึงทำให้ไม่สัมผัสถึงแรงกระชากหนักๆ แบบเกียร์อัตโนมัติลูกอื่นๆ

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_93

การขับขี่ใช้งานทั้งในเมือง อัตราเร่งทำได้ดีในระดับรถยนต์ Compact พิกัด 2.0 ลิตร ขณะที่การเดินทางไกล ก็ทำได้ดี ช่วงความเร็วในระดับ 140 กม/ชม. ขึ้นไปยังพอไหลได้อย่างต่อเนื่อง จนเริ่มจะมาแผ่วที่ตีนปลาย ตามสไตล์รถดีเซล ที่มีความเร็วปลายอยู่ในระดับราว 180 กม./ชม. + เล็กน้อย

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_27

นอกจากนี้ยังสามารถเล่นโหมด Manual ที่เปลี่ยนเกียร์เองได้โดยโยกคันเกียร์ + – ซึ่งเราพบว่า การตอบสนองในการเปลี่ยนเกียร์ถือว่าทำได้ค่อนข้างเร็ว และสมูทต่อเนื่อง การเปลี่ยนเกียร์เองในช่วงที่แรงบิดสูงสุดออกมาในช่วง 2,000-2,500rpm จะช่วยให้รถรีดทอร์คในการออกตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าเราลากเกียร์จนเกินกว่า 4,000rpm ขึ้นไปจะทำให้รถมีอาการตื้อจากรอบเครื่องยนต์ ซึ่งนั่นจำเป็นต้อง Shift เกียร์ขึ้นโดยโยกคันเกียร์ นอกจากนี้การขึ้นเกียร์เร็วเกินไป (รอบเครื่องยนต์ต่ำเกิน) ที่ราวก่อน 2,000rpm เกียร์จะไม่ยอมตัดขึ้นให้อีก ซึ่งน่าจะดีกว่านี้ถ้าการตอบสนองของตำแหน่งเกียร์ทำได้อย่างอิสระมากกว่านี้

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_59

ขณะที่อัตราสิ้นเปลืองนั้น ก็ทำได้ดีเช่นกัน น้ำมันยังเหลือเกินครึ่งถังเมื่อขับไปได้ถึง 400 กม. ซึ่งแน่นอนว่าน้ำมัน 1 ถัง หากขับเดินทางไกลจริง โดยที่ขับแบบเหยียบๆ ไม่ต้องคิดเรื่องประหยัด จะสามารถทำได้อย่าง 800 กม. โดยสบายๆ ซึ่งหากเทียบแล้ว อัตราสิ้นเปลืองจะทำได้ที่มากกว่า 18 กม./ลิตร แม้เราจะขับขี่ด้วยความเร็วก็ตาม

(อัตราสิ้นเปลืองตามเคลม 26.3 กม./ลิตร) ซึ่งต้องยกคุณงามความดีให้ระบบ i-Stop ซึ่งมันทำงานได้อย่างชาญฉลาด มีการจับจังหวะในช่วงรถติด และรถกำลังเคลื่อนตัวได้ดี จึงช่วยให้อัตราสิ้นเปลืองนั้นทำได้ดียิ่งขึ้นกว่ารถที่ไม่มีระบบ i-Stop ด้วย

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_76

ด้านการควบคุมผ่านพวงมาลัยที่ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า ของ Mazda ให้การตอบสนองที่เป็นธรรมชาติ ผ่อนแรงได้เบาที่ความเร็วต่ำ ช่วยเพิ่มความคล่องตัว ว่องไว ด้วยรัศมีวงเลี้ยว 4.9 ม. (ล้ออัลลอยขอบ 16”) ช่วยให้มันเป็นรถที่คล่องตัว ในเมืองเป็นอย่างสูง ขณะที่การขับที่ความเร็วสูงยังให้ความมั่นใจได้จากระยะฟรีต่ำ และความแน่นมั่นคงของพวงมาลัย ถือได้ว่าเป็นรถ Eco Car ที่มี Handling พวงมาลัยที่ดีเยี่ยมที่สุด ในขณะที่รถ B-Car มันทำได้fuในมาตรฐานไล่เลี่ยกับ Ford Fiesta แต่ Fiesta

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_42

ระบบช่วงล่าง ทางด้านหน้า เป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม คอยสปริง ซึ่งได้มีการแยกโช้คอัพออกมาจากคอยสปริง ซึ่งช่วยเพิ่มความนุ่มนวล และซับแรงได้ดีขึ้น

การยึดเกาะถนน ของ Mazda ที่ขึ้นชื่อนั้น ใน Mazda2 Skyactiv คันนี้ ถือได้ว่าน่าประทับใจยิ่งกว่าเดิม ช่วงล่างที่แน่นเฟิร์ม แต่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น ทำให้การเข้าโค้งยังขับได้อย่างสนุกสนาน ทรงช่วงล่างดีขึ้นกว่าเดิม  แต่อย่างไรก็ดีการเข้าโค้งหนักๆ ด้วยความเร็วที่สูงเกินไป ก็อาจเจออาการ Understeer เอาได้ ด้วยระยะฐานล้อที่สั้น และยาง Eco Series ที่เน้นด้านอัตราสิ้นเปลือง อาจทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะไม่ดีมากนัก

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_34

แต่อย่างไรก็จุดที่น่าประทับใจของช่วงล่างนี้ คือ ขณะที่ขับผ่านรอยต่อถนน หรือ พื้นผิวขรุขระ ที่ต้องเคยขยาด ได้หายไป เพราะมันซับแรงได้ดีขึ้นอย่างชัดเจนแม้ในรุ่นท๊อป Sport High Plus ที่สวมล้อ 16” คันนี้

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_83

สำหรับระบบห้ามล้อ เบรกแบบดิสก์ด้านหน้า และด้านหลังแบบดิสก์เบรก ในรุ่น XD High และ XD High Plus

การเซ็ทแป้นเบรกทำได้ดี เบรกไม่ตื้นไม่ลึก ช่วยให้การลงน้ำหนักเบรกอย่างนุ่มนวลทำได้ไม่ยากเย็น การตอบสนองของแป้นเบรกก็ทำได้ในระดับที่น่าพอใจ แต่หากขับมาด้วยความเร็วอยากให้การเซ็ทแป้นเบรกตอบสนองได้ฉับไวกว่านี้อีกสักนิด แต่จุดที่น่าประทับใจมาก นั่นก็คือ Brake Balance ที่พบว่า Mazda2 Skyactiv ใหม่นี้ มันทำได้ดีมาก

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_24

แม้การเบรกรถในช่วงทางโค้ง ที่อาจต้องใช้ความระมัดระวัง แต่ Chassis ตัวถังของ Mazda2 นี้ยังคงไม่มีการส่ายใดๆ ออกมาให้เห็น เบรกได้อย่างมั่นคง และไว้ใจได้ดีแบบไร้ที่ติ

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_33

ขณะที่เทคโนโลยีความปลอดภัย มีให้ทั้งระบบเบรก ABS, EBD, DSC (Dynamic Stability Control) ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว, HLA (Hill Launch Start) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, TCS (Traction Control System) ระบบป้องกันล้อลื่นไถล ซึ่งเรียกได้ว่าเทียบชั้นได้เท่ากับรถ Compact Car หลายรุ่นด้วยซ้ำ

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_36

สรุป 
Mazda2 Skyaciv-D ที่ถือเป็นรถในกลุ่ม B-Car ที่ได้ผ่านเกณฑ์รถ Eco Car เฟส2 เป็นคันแรกในประเทศไทย จากทั้งมาตรฐานไอเสียและอัตราสิ้นเปลืองสุดเข้มงวด หากคุณมองภาพลักษณ์ Eco Car ราคาประหยัด เราขอให้คุณมองข้าม Mazda2 ใหม่นี้ไปซะ เพราะมันมากับราคาในระดับรถ B-Car แต่พ่วงความประหยัดและความสะอาดของไอเสีย จนได้ชื่อ Eco Car เข้ามาด้วย

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_07

ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูสปอร์ต และฟังก์ชั่นการใช้งานที่เพียบพร้อม และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยให้ภาพรวมการขับขี่ที่เกินมาตรฐานทั้ง Eco Car และ B-Car คันอื่นๆด้วยซ้ำ เราจึงอยากจะให้ทุกคนเข้าใจภาพก่อนว่า Mazda2 Skyactiv ใหม่ เป็นรถ B-Car สมรรถนะสูง เปี่ยมด้วยความแรงและความประหยัด พร้อมลูกเล่นออปชั่นที่น่าสนใจมากมาย

หากเทียบราคาแล้ว เราต้องขอให้คุณไปมองเทียบกับรถยนต์ B-Car ด้วยกัน ซึ่งคุณอาจต้องลองสัมผัสกับทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง และคุณจะได้คำตอบว่ามันคุ้มค่าราคาที่ต้องจ่ายหรือไม่

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_21

สำหรับราคา Mazda2 Skyactiv Hatchback มีรุ่นทั้งหมดดังนี้

1.3 Sports Standard 5.5 แสนบาท

1.3 Sports High 6.1 แสนบาท

1.3 Sports High Plus 6.65 แสนบาท

XD Sports 6.75 แสนบาท

XD Sports High 7.35 แสนบาท

XD Sports High Plus 7.9 แสนบาท

*หมายเหตุรุ่น Sedan จะมีรุ่นและราคาจำหน่ายเท่ากัน โดยจะตัดชื่อ Sports ออก

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_15

ขอขอบคุณ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย 

สำหรับรถ Mazda2 Skyactiv-D XD Sport High Plus สีขาวมุกคันนี้

ภณ เพียรทนงกิจ  Test Driver 9carthai

Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_21 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_23 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_24 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_25 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_10 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_18 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_19 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_07 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_26 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_01 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_02 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_27 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_29 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_28 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_30 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_31 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_33 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_32 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_35 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_36 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_34 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_37 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_38 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_39 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_40 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_41 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_42 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_43 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_94 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_93 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_03 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_04 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_15 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_14 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_11 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_08 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_09 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_06 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_12 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_13 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_16 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_17 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_84 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_82 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_83 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_05 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_44 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_45 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_46 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_47 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_48 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_49 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_50 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_51 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_52 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_53 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_54 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_55 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_56 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_57 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_59 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_60 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_58 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_61 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_69 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_70 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_71 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_72 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_64 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_67 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_73 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_74 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_76 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_75 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_77 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_78 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_79 mazda2-Skyactiv-Back-Seat Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_80 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_81 Review-Mazda2-BackSeat_2 Review-Mazda2-BackSeat_1 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_85 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_86 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_87 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_88 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_89 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_90 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_91 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_92 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_65 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_62 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_63 Review-Mazda2-Skyactiv-D-HatchBack-9carthai_68

รีวิว Volvo S60 T5 Compact Sedan ทั้งแรง พร้อมความปลอดภัยขั้นสูงสุด

$
0
0

รีวิว Volvo S60 T5 Compact Sedan ทั้งแรง พร้อมความปลอดภัยขั้นสูงสุด

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_062

เมื่อปี 2008 Volvo Car Corporation สวีเดน ใช้เงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านโครเนอร์สวีเดน (1หมื่นล้านบาท)  ในการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งสร้างโรงงานผลิตเครื่องยนต์ Powertrain ใหม่ ในเมือง Skovde โดยใช้แนวคิด Scalable Product Architecture หรือ SPA เพื่อให้รถยนต์หลายๆ รุ่นของ Volvo สามารถใช้ชิ้นส่วนร่วมกันได้ (อาทิ S60, V60, XC60) ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดต้นทุนทั้งที่เป็นตัวเงินและทรัพยากร

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_093

จากภายใต้แนวคิด SPA วอลโว่ได้พัฒนาเครื่องยนต์ตระกูลใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า Volvo Engine Architecture หรือ VEA พัฒนาบล็อคเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ ความจุ 2,000cc ที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด และน้ำหนักเบากว่าเดิมถึง 30-50 กิโลกรัม แต่ได้สมรรถนะเทียบเท่าเครื่องยนต์ที่มีจำนวนลูกสูบมากกว่า  ในขณะที่ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า 10-30%

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_070

ซึ่งแนวคิดดังกล่าวได้เป็นที่มาของเครื่องยนต์ในตระกูล Drive-E Powertrains แบบ 4 สูบ 2 ลิตร ที่ 9carthai เราจะขอมารีวิวนำเสนอกันใน Volvo S60 T5 สีดำ Ember Black Metallic คันนี้ ที่มีราคา 2.449 ล้านบาท

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_048

รูปลักษณ์ภายนอกของ Volvo S60 T5 ได้รับการออกแบบให้โดดเด่นสะดุดตา ตามสไตล์สแกนดิเนเวียนยุคใหม่ ด้วยกันชนใหม่ทั้งหน้าและหลัง

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_115

ไฟหน้าดีไซน์เฉี่ยว พร้อมระบบ Active High Beam Control II ที่คอยปรับมุมไฟสูงไม่ให้แยงตารถคันอื่น และ Daytime Running Light แบบ LED ฝากระโปรงหน้าใหม่อลูมีเนียมน้ำหนักเบา ซ่อนท่อฉีดน้ำล้างกระจกไว้ใต้ฝากระโปรงรถเพื่อไม่ให้รบกวนดีไซน์เท่ของซีดานสไตล์สปอร์ตคันนี้ กระจังหน้าที่กว้างขึ้น เน้นเส้นสายแนวขวางทั้งด้านหน้าและหลังเพิ่มความสปอร์ต พร้อมเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งบนกระจังหน้าใช้ตรวจจับวัตถุ

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_044

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_047

ท่อไอเสียทางด้านท้ายทรงเหลี่ยม 2 ท่อคู่ ให้อารมณ์สปอร์ตแบบฉบับรถแรง ขณะที่ล้ออัลลอย 18” ลาย 10 ก้านคู่ พร้อมยาง Continental ContiSportContact 3 ไซส์ 235/40R18 ให้การยึดเกาะเป็นอย่างดี

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_046

และที่ฝากระโปรงท้ายได้มีโลโก้ T5 บ่งบอก ถึงขุมพลังบล๊อกใหม่ นี้ติดตั้งบ่งบอกเอาไว้

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_080

รูปลักษณ์ภายในหรูกลิ่นอายสปอร์ต เมื่อเปิดประตูห้องโดยสารด้วยระบบ Keyless

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_071

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_040

ซึ่งจะมีเซ็นเซอร์อยู่ที่มือจับประตูทั้ง 4 บาน ระบบจะทำการปลดล๊อกโดยอัตโนมัติ ซึ่งใช้งานได้อย่างงายดาย สะดวกสบาย

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_026

เข้ามาจะเห็นห้องโดยสารตกแต่งโทนสีดำตัดด้วยสีเงินเมทัลลิก โดยดีไซน์ได้อย่างประณีตด้วยหนังคุณภาพสูงที่บุเบาะที่นั่ง ตกแต่งด้วยTrim ลาย Aluminium Metal Inlay กรอบช่องแอร์และปุ่มควบคุมไฟต่างๆ เป็นสีโลหะด้านดูทันสมัย

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_091

เบาะนั่งรูปทรงสปอร์ตกระชับสรีระ พร้อมระบบปรับไฟฟ้า ปรับได้ 8 ทิศทางและ Memory Seat 3 ค่า

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_083

ระบบปรับอากาศแยกโซนอัตโนมัติซ้าย-ขวา มีช่องแอร์ตอนหลังติดตั้งอยู่ที่เสา B ทั้ง 2 ฝั่ง

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_008

พวงมาลัย 3 ก้านที่มาพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง และปรับเซ็ตค่าบนหน้าจอ TFT และมีปุ่ม Paddle Shift ติดตั้งหลังพวงมาลัยเอาไว้ใช้งานได้ทันที หรือ จะควบคุมเกียร์ผ่านการโยก + – บนหัวเกียร์ได้เช่นเดียวกัน

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_004

ขณะที่หน้าจอคอนโซลกลางมีขนาด 7” รองรับ DVD และเครื่องเล่นเพลงต่างๆ พร้อมลำโพงคุณภาพเยี่ยม 8 ตัว สามารถใช้เป็นแฮนด์ฟรีสำหรับโทรศัพท์ รวมถึงสามารถดึงเพลงจากมือถือมาเล่นผ่านลำโพงรถได้ มีระบบนำทางให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

บนแผงหน้าปัดเป็นจอ TFT 8” ปรับธีมแสดงผลได้ 3 แบบ Elegance, Eco และ Performance ซึ่งถือเป็นลูกเล่นของ S60 T5 นี้เลยก็ว่าได้

  • Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_002Elegance แสดงผลด้วยโทนสีเหลือง ในรูปแบบดั้งเดิมแต่ทำให้อ่านง่ายด้วยภาพกราฟฟิก เช่น สัญลักษณ์แสดงระบบแจ้งเตือนป้ายจราจร (Road Sign Information) ทางด้านซ้ายจะเป็นหน้าปัดแสดงอุณหภูมิเครื่องยนต์ อุณหภูมิภายนอก และระดับน้ำมันในถัง ส่วนด้านขวาจะแสดงรอบเครื่องยนต์ เวลา และตำแหน่งเกียร์ที่ใช้
  • Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_124Eco แสดงผลด้วยโทนสีเขียว สร้างแรงบันดาลใจเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มาตรวัดแบบ Eco จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ แสดงปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ในขณะนั้น และปริมาณการใช้เชื้อเพลิงสะสม หากผู้ขับขี่ประหยัดเชื้อเพลิงมากที่สุดก็จะมีไฟเขียวแสดงขึ้น ส่วนทางด้านซ้ายจะแสดง Eco Guide ที่วัดความเร็วรถ ความเร็วรอบเครื่อง ตำแหน่งวาล์วปีกผีเสื้อ (Throttle) และการเบรกเพื่อประเมินความประหยัดของเชื้อเพลิง และแนะแนวทางให้ผู้ขับขับขี่ประหยัดมากยิ่งขึ้น  และจะมีกราฟเส้นแสดงว่าประหยัดน้ำมัน รวมทั้งมีการคำนวณอัตราการใช้เชื้อเพลิงเฉลี่ยใน 2-3 นาทีที่ผ่านมา และแสดงให้เห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเมื่ออัตราการประหยัดเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ยิ่งสัญลักษณ์ดังกล่าวอยู่ใกล้ด้านบนมากเท่าไร ไฟเครื่องหมาย e จะติดแสดงว่ามีการประหยัดเชื้อเพลิงมาก ระบบนี้ยังช่วยให้ผู้ขับขี่ประหยัดพลังงานได้ในทุกสถานการณ์
  • Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_123Performance แสดงผลด้วยโทนสีแดง ให้อารมณ์สปอร์ต มาตรวัดตรงกลางจะแสดงมาตรวัด รอบเครื่องแทนที่จะเป็นความเร็วรถอย่างในแบบ Elegance หรือ Eco ความเร็วของรถจะแสดงในรูปแบบตัวเลขดิจิตอลตรงกลาง ทางด้านขวาเป็นมาตรแสดงพลังที่บอกให้ผู้ขับทราบว่าในแต่ละวินาทีรถมีกำลังอยู่เท่าไร และใช้ไปเท่าไร Power Guide ช่วยให้ผู้ขับขี่เร่งได้เต็มที่เพื่อการแซงอย่างปลอดภัย

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_104

สำหรับท่านั่งในการขับขี่นั้น ถือว่านั่งได้อย่างตรงตามสรีระ แต่อาจพบว่าตำแหน่งวางเท้าซ้าย ดูจะแคบไปเสียเล็กน้อย เนื่องจากติดพื้นที่ของคอนโซลกลางขนาดใหญ่ รวมไปถึงการจัดวางสิ่งของเช่นกระเป๋าเงิน และโทรศัพท์ ที่ต้องวางสิ่งของไว้หลังแผงเครื่องปรับอากาศ ซึ่งดูจะหยิบใช้งานยากไปเสียเล็กน้อยเพียงเท่านั้น

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_095

สมรรถนะของ S60 ขุมพลัง T5 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบ บล๊อกนี้ มีกำลังอยู่ที่ 220 แรงม้า@5,500rpm  และแรงบิดที่ 350Nm@1,500-4,000rpm   เคลมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 6.7 วินาที   โดยมี Top Speed อยู่ที่ระดับ 230 กม./ชม. พร้อมปล่อยไอเสียสุดต่ำเพียง 139 กรัม/กม. มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยตามเคลมใน-นอกเมืองที่ 16.7 ก.ม./ลิตร (จากการใช้จริงของเราอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ราว 12 กม./ลิตร)

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_012

สมรรถนะในด้านกำลังเครื่องถือว่า แรงเหลือเฟือ การใช้งานมีกำลังให้รีดใช้ตั้งแต่รอบต่ำ ไม่ต้องรอรอบสูงจากเครื่องยนต์เทอร์โบ เนื่องจากเทอร์โบลูกไม่ใหญ่จนเกินไป สามารถเรียกแรงบิดสูงสุดออกไม่ได้ตั้งแต่ก่อน1,500rpm

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_016

นั่นจึงทำให้การขับขี่ใช้งานในแบบฉบับของคุณพ่อบ้าน ที่เน้นทอร์คออกตัวขับเคลื่อนทั่วๆไป เป็นไปได้อย่างเพียงพอเหลือๆ แต่ทว่าถ้าคุณมีจิตวิญญาณนักซิ่ง S60 คันนี้ก็ตอบโจทย์นั้นได้เช่นกัน เมื่อผลักคันเกียร์ไปทางด้านซ้าย เข้าสู่โหมด S (Sport) ซึ่งจะช่วย Hold รอบเครื่องยนต์สูงเอาไว้ ใช้เรียกฝูงม้าระดับ 200hp + พร้อมสำหรับการเร่งแซง และพุ่งทะยานได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากคุณเพลินจนเกินไป ตัวเลขบนมาตรวัด จะบอกความเร็วที่ระดับ 200 กม./ชม. ได้อย่างไม่ยากเย็น

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_018

ด้านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 Speed Geartronic นั้นผสานการทำงานกับเครื่องยนต์ Drive-E ได้เป็นอย่างดี

โดยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดนี้ มีอัตราทดเกียร์ที่กว้างขึ้น ในช่วงเกียร์ต้น ซึ่งเกียร์ 1 เร่งออกตัวได้อย่างรวดเร็วทันใจ ขณะที่เกียร์สูงสุด เกียร์ 8 ช่วยให้ใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำขณะที่ความเร็วสูง รวมไปถึงการเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวล (หากขับขี่ในแบบปกติ) แต่ถ้าขับด้วยการเค้นคันเร่งมิด มันก็สามารถมอบอารมณ์สปอร์ต ให้ได้จากกำลังเครื่องที่มี รวมไปถึงจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่ดึงหลังติดเบาะเอาได้เหมือนกัน แต่ในจังหวะ Shift เปลี่ยนเกียร์ด้วยตนเองทั้งผ่าน Paddle Shift หรือ การโยกที่หัวเกียร์นั้น การตอบสนองอาจดูช้าไปนิด ขณะที่เกียร์ 8 Speed นั้นให้แรง Engine Brake จากเครื่องยนต์ที่ไม่สูงมากนัก จึงคงความสมูทไม่กระชากดึงแผ่นหลังในจังหวะที่ต้องการลดเกียร์ลงอีกด้วย

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_081

การควบคุม Handling  S60 สามารถปรับได้ 3 ระดับ ซึ่งเราได้ปรับทิ้งไว้ที่ High Setting เน้นการตอบสนองที่หนักแน่นในแบบ Sport  ที่ความเร็วต่ำในช่วงออกตัว พวงมาลัยผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ให้ความเบาในระดับที่มีน้ำหนักอยู่บ้าง ซึ่งส่วนหนึ่งนอกจากการปรับ High Setting แล้วการสวมล้ออัลลอยขอบ 18” ก็อาจส่งผลมาด้วย

พวงมาลัยวงนี้มีระยะฟรีมาลัยค่อนข้าง ประกอบกับการตอบสนองของพวงมาลัยที่รวดเร็วมีความไว จึงทำให้ในจังหวะที่เร่งแซง หรือในบางช่วงที่วงเลี้ยวน้ำหนักพวงมาลัยจะหายไป แต่การขับขี่บนทางตรงที่ทำความเร็วสูง น้ำหนักยังคงแน่นตึงมืออยู่ดี ให้ความมั่นใจได้เช่นเคย

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_049

ระบบกันสะเทือนช่วงล่าง ของ Volvo S60 โดยภาพรวมนั้นนิ่มนั่งสบาย พร้อมคงความแน่นเฟิร์มในแบบฉบับรถยุโรป แต่อาจมีรู้สึกแข็งบ้างในช่วงจังหวะที่ต้องขับผ่านลูกระนาดหรือทางรถไฟ ซึ่งทรงของตัวรถ จะออกอาการอย่างเห็นได้ชัดถึงความแน่นและแข็งของช่วงล่าง ซึ่งเป็นปกติของการใช้ล้อขนาด 18”  ที่มีแก้มยางเพียง 40 มม. เช่นนี้

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_057

ความมั่นคงในการยึดเกาะถนนนั้น ทำได้ค่อนข้างดี การขับขี่ที่ความเร็วไม่เกิน 150 กม./ชม. ยังคงให้ความมั่นใจได้อยู่ แต่หากเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง อาจมีอาการโยนเหวี่ยงของตัวรถออกมาเล็กน้อย ต้องขอขอบคุณ Continental ContiSportContact 3 ที่ยังให้ Grip ในการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม ไว้วางใจได้ แม้การขับขี่บนพื้นผิวที่เปียก ซึ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์ของ S60 T5 คันนี้ ได้เป็นอย่างดี

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_038

ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ ในรถ Volvo S60 ได้ถูกปรับเซ็ตออกมาในแบบรถบ้านหรู  คือ เบรกหนืด และต้องลงน้ำหนักแป้นที่ลึกพอควร การตอบสนองของเบรกยังทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ยังตอบสนองได้ไม่ไวนัก เน้นให้ความนุ่มนวลในการโดยสารเบรก ซึ่งยังคงให้ภาพลักษณ์ของการขับขี่ในแบบฉบับรถยุโรปหรู ได้ดี และการชะลอความเร็วก็ทำหน้าที่ได้ดีหากขับขี่เกินทางทั่วๆไป

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_033

ขณะที่เทคโนโลยีความปลอดภัย ต้องเรียกได้ว่าอัดแน่นจัดเต็มกว่าเพื่อนรถยุโรปคันไหน อาทิ

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_072

  • กุญแจที่มีระบบเตือน Memory โดยจะสามารถจำค่าล่าสุดว่า ล๊อครถเรียบร้อยหรือยัง
  • ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถวิ่งออกนอกเลน (Lane Keeping Aid) ซึ่งจะมีเสียง และสั่นแจ้งเตือนที่พวงมาลัย

โดยระบบนี้ทำงานในขณะที่รถกำลังขับขี่ด้วยความเร็วระหว่าง 65-200 กม./ช.ม.

  • ระบบตรวจจับรถจักรยาน และ Auto Brake (Cyclist Detection with Full Auto Brake)

ซึ่งจะใช้เรดาร์จากทางหน้ารถในการตรวจจับ ร่วมกับระบบ Auto Brake เพื่อจะหยุดรถโดยอัตโนมัติ

  • ระบบไฟส่องสว่างเพิ่มมุมมองด้านข้างเมื่อใช้สัญญาณไฟเลี้ยวขณะขับขี่ความเร็วต่ำ (Cornering Light)

โดยจะส่องสว่างในพื้นที่ที่ผู้ขับขี่จะมองเห็นได้ โดยหักเหมุมส่องสว่างตามพวงมาลัยเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ จะทำงานเมื่อรถยนต์ใช้ความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงพร้อมกับมีการเปิดไฟเลี้ยว และจะปิดการทำงานเมื่อความเร็วของรถยนต์สูงเกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_031

  • ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติ (Active High Beam)

ระบบนี้จะเปิดเป็นไฟสูงตลอดเวลา แต่เมื่อมีรถสวนมา ระบบจะลดระดับแสงเพื่อไม่ให้รบกวนสายตาของรถคันอื่น

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_074

  • ระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตา (Enhanced Blind Spot Information system –BLIS)

จะมีไฟแจ้งเตือนที่เสา A ทั้ง 2 ฝั่ง โดยมีระยะตรวจจับจุดอับ 70 เมตร ทั้งหน้า-หลัง ของทั้ง 2 ฝั่งตัวรถ

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_043

  • ระบบแจ้งเตือนขณะถอยหลัง Cross Traffic Alert พร้อมกล้องมองภาพหลัง

ระบบนี้จะตรวจดูในระยะ 30 เมตรจากท้ายรถ และสามารถจับวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่ารถได้ด้วย  เมื่อรถคุณวิ่งไม่เกิน 50 กม./ชม. ระบบจะใช้เลเซอร์ที่ฝังอยู่ส่วนบนของกระจกบังลมหน้า สแกนพื้นที่ด้านหน้ารถในระยะห่างออกไป 10 เมตร เพื่อตรวจจับยานพาหนะด้านหน้ารถว่าหยุดอยู่กับที่หรือกำลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ถ้าระบบประเมินว่าการชนกำลังจะเกิดขึ้น เบรกจะถูกชาร์จเตรียมไว้เพื่อให้คุณเหยียบเบรกได้ทันท่วงที หรือหากคุณไม่เหยียบเบรก ระบบจะทำการเบรกโดยอัตโนมัติระบบป้องกันการชนขณะขับขี่ความเร็วต่ำ (City Safety)

  • ระบบเตือนเพื่อป้องกันการชนพร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถแบบเต็มแรงเบรกและเซ็นเซอร์ตรวจจับคนเดินถนน (Collision Warning with Full Auto Brake and Pedestrian Detection)

ออกแบบมาเพื่อใช้ขณะขับขี่บนถนนไฮเวย์โดยเฉพาะ เพื่อเตือนในระยะ 150 เมตร ผ่านเรดาร์เซ็นเซอร์ที่อยู่บนกระจังหน้า และระบบ Collision Warning ประเมินว่าอาจเกิดการชน ระบบจะส่งเสียงสัญญาณและไฟกระพริบเพื่อเตือน หากผู้ขับไม่เหยียบเบรก ฟังก์ชั่น Auto Brake จะหยุดรถโดยทันทีและเปิดสัญญาณไฟกระพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_001

  • ระบบแจ้งเตือนป้ายจราจร (Road Sign Information)

ซึ่งจะแสดงผลแจ้งเตือนบนแผงมาตรวัด

  • ระบบเปิด/ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติเมื่อขับขี่เข้า/ออกจากที่มืด (Tunnel Detection)
  • ระบบเตือนผู้ขับขี่ (Driver Alert Control: DAC)

จะจับตาดูความเคลื่อนไหวและทิศทางของรถ จากนั้นจึงประเมินความเป็นไปได้ที่ผู้ขับขี่อาจสูญเสียการควบคุมจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ แล้วส่งสัญญาณเสียง หรือข้อความทางหน้าจอเพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่หยุดพัก

  • Corner Traction Control

ฟังก์ชั่นควบคุมการเข้าโค้งโดยการถ่ายเทแรงบิด (Corner Traction Control by Torque Vectoring) ล้อที่อยู่ด้านในของโค้งจะเบรกพร้อมกับถ่ายทอดกำลังไปยังล้อที่อยู่ด้านนอกมากขึ้น

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_013

สรุปแล้ว  Volvo S60 T5 รถยนต์ Compact Sedan ของ วอลโว่ มาพร้อมเครื่องยนต์บล๊อกไม่ใหญ่ อย่าง T5 Drive E ที่ทรงพลัง ขับขี่สนุก ใช้งานสบาย โดยระบบช่วงล่างนั้นให้ความมั่นคงในแบบฉบับรถยุโรป ที่สำคัญเทคโนโลยีความปลอดภัยให้แบบเต็มพิกัด กว่ารถคันใดในรถระดับเดียวกันนี้

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_017

นอกจากนี้ผู้ที่รักความแรงยังสามารถอัพเกรด Software Polestar ที่ช่วยให้รถมีกำลังมากยิ่งขึ้นในขณะที่ประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ประมาณ 5 หมื่นบาท ได้แรงม้าเพิ่มเป็น 245 แรงม้า ด้วยกัน

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_053

ขอขอบคุณ Volvo Cars Thailand สำหรับรถทดสอบ Volvo S60 T5 สีดำ Ember Black Metallic คันนี้ ราคา 2.449 ล้านบาท
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver 9carthai

Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_011 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_014 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_015 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_016 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_017 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_028 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_029 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_034 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_030 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_044 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_048 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_050 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_051 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_063 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_053 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_057 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_064 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_065 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_066 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_069 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_106 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_108 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_097 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_112 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_120 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_115 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_031 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_032 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_033 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_114 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_035 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_036 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_037 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_039 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_038 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_059 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_116 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_040 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_060 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_041 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_042 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_045 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_046 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_088 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_122 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_071 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_072 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_001 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_002 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_003 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_123 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_124 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_004 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_005 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_006 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_007 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_008 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_009 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_020 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_019 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_018 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_024 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_023 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_022 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_026 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_021 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_025 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_073 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_074 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_103 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_080 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_081 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_104 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_098 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_075 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_099 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_090 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_091 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_083 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_078 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_102 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_101 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_089 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_085 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_087 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_092 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_095 Review-Volvo-S60-T5-Pon-9CarThai_093

รีวิว Mercedes-Benz C300 Bluetech Hybrid AMG Dynamic ซาลูน หล่อ หรู ทรงพลัง

$
0
0

รีวิว Mercedes-Benz C300 Bluetech Hybrid AMG Dynamic ซาลูน หล่อ หรู ทรงพลัง

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_007

 เมื่อช่วงเดือน มีค. 2015 ที่ผ่านมา ทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวรถใหม่ประกอบในประเทศไทย Mercedes-Benz C300 Bluetech Hybrid ณ โรงงานธนบุรีประกอบยนต์ ซึ่ง C300 นับได้ว่าเป็นรถ Mercedes-Benz เครื่องยนต์ดีเซลไฮบริดรุ่นแรกที่ประกอบและจำหน่ายในประเทศด้วย โดยในรุ่น Saloon 4 ประตู จะมี 2 รุ่น ได้แก่ Exclusive เริ่มต้นที่ราคา 2.84 ล้านบาท และรุ่น AMG Dynamic ราคา 3.09 ล้านบาทเป็นคันที่เราได้มีโอกาสมาทดสอบรีวิวกันในครั้งนี้

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_030

เริ่มต้นที่ภายนอก Mercedes-Benz C300 ใหม่ ถือได้ว่าเป็นการถอดแบบรูปทรงมาจาก New S-Class ทั้งรูปทรงตัวถัง ไฟหน้า-ไฟท้าย

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_153

ซึ่ง C300 Bluetech Hybrid นี้มากับฟังก์ชั่นที่หรูหราอัดแน่นมากมาย ทั้ง ไฟหน้า LED พร้อมระบบ Intelligent Light System ที่มีไฟ DRL ในตัวแบบ Fibre-Optic และยังมาพร้อมระบบ ALS (ไฟหน้าเลี้ยวตามองศาพวงมาลัย), Cornering Light ระบบเพิ่มความสว่างขณะเลี้ยวโค้ง, Adaptive Highbeam Assist  ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ที่ให้ความปลอดภัยแบบจัดเต็ม

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_064

ขณะที่ไฟเบรก และไฟท้ายก็ใช้แบบ LED เช่นเดียวกัน

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_150

ที่มือจับประตู มีปุ่มที่ใช้ระบบสัมผัส ทำงานกับระบบกุญแจ Keyless-Go ใช้งานง่ายสะดวกสบาย

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_148

ในรุ่น AMG Dynamic นี้ให้หลังคา Panoramic Sunroof ที่เปิดได้กว้าง โดยตัวหลังคาเป็นสีดำ ตัดกับสีบอดี้ขาว ได้อย่างลงตัว และมาพร้อมชุดแต่ง AMG BodyStyle รอบคัน, ล้อ AMG 5 ก้าน ขอบ 18” สวมยาง Runflat ไซส์ 225/45/18 ด้านหน้า และ 245/40/18 ด้านหลัง จาก Bridgestone Potenza S001

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_066

ด้านมิติตัวถัง C300 มีความกว้างxยาวxสูง = 1,810×4,686x,1442 มม.

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_065

ระยะฐานล้อ 2,840 มม. มีน้ำหนักตัว 1,715 กก. ความจุถังน้ำมันที่ 50 ลิตร

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_137

สำหรับภายใน ของรุ่น AMG Dynamic คันนี้มีออปชั่นให้เลือก เบาะหนังสีดำ และสีแดง Cranberry Red ในคันนี้ โดยใช้ Trim ลายไม้ Black Ash Wood ตกแต่งด้วยขอบอลูมีเนียม ซึ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์อันดุดันร้อนแรงให้กับ AMG Dynamic คันนี้

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_092

นอกจากนี้ตัว AMG Dynamic ยังให้แป้นเบรกและแป้นคันเร่งแบบสปอร์ต รวมไปถึงพวงมาลัยทรงสปอร์ตท้ายตัด มีปุ่ม Multifunction ที่ใช้ควบคุมหน้าจอแสดงผลตรงแดชบอร์ด และปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและระบบเชื่อมต่อ Bluetooth ขณที่ก้าน Cruise Control และ Speed Limit จะอยู่ด้านหลังพวงมาลัยฝั่งซ้ายล่าง  นอกจากนี้ยังมีก้าน Paddle Shift เอาไว้ควบคุมเกียร์แบบ Manual หลังพวงมาลัย

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_117

ที่แผงคอนโซลกลางมีปุ่ม Controller และ Touchpad ซึ่งให้คุณเลือกใช้งานตามสะดวกว่าจะใช้ระบบ Touchpad หรือ Controller

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_096

ในการควบคุมหน้าจอแสดงผล Freestand ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับ A-Class ดูรุปทรงจะไม่ค่อยเข้ากับภายในของ C300 ที่ดูหรูสักเท่าไร โดยจอ FreeStand นี้จะแสดงผลตั้งแต่ระบบเครื่องเสียง, การเชื่อมต่อ, ระบบนำทางจาก Garmin, แสดงผลการเซ็ทค่าต่างๆ อย่างครบถ้วน

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_122

หากพินิจมองที่แผงควบคุม Controller ส่วนนี้ จะพบว่ามันได้แชร์ชิ้นส่วนมาจากรถพวงมาลัยซ้าย สังเกตุได้จากปุ่ม Agility (Driving Mode 4 รูปแบบ) ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือของปุ่ม Controller ขณะที่ปุ่ม Vol กลับอยู่ทางฝั่งขวามือ (ผู้ขับ)

น่าเสียดายเล็กน้อยที่ตัว AMG Dynamic คันนี้ ไม่มี Air Balance เอาไว้ให้ปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสารแบบเช่นตัว Exclusive

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_097

มองถัดขึ้นมาที่คอนโซลด้านหน้า จะพบช่องแอร์ 3 ช่องทรงกลม แบบอากาศยาน และปุ่มสวิทช์ต่างๆ ที่ใช้งานง่ายดูไม่ยุ่งมาก เพียงดันขึ้น-ลง ดีไซน์ได้รับแรงบรรดาลใจมาจากอากาศยานเช่นกัน หรูหรามีระดับ ต่ำลงมาอีกนิดจะพบกับหน้าปัดนาฬิกาทรงกลมให้ความโมเดิร์นลงตัว

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_095

ถัดมาที่ช่องเท้าแขน สามารถกดเปิด เป็นที่เก็บของโดยมีช่องเชื่อม USB 2 Slot และ SD Card

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_141

บริเวณแผงประตูทั้ง 4 บาน ได้ติดตั้งลำโพง Burnester มอบคุณภาพเสียงแบบ Surround  และยังมีความสุนทรีย์ที่ถูกสร้างขึ้นได้ด้วยสี จากไฟเรืองแสง Ambient Light รอบห้องโดยสารถึง 3 สี ช่วยมอบอารมณ์ผ่อนคลายให้กับห้องโดยสารสุดหรูคันนี้ได้ดูยิ่งขึ้น

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_135

ขณะที่ผู้โดยสารตอนหลังก็ไม่ต้องพะวงกับอากาศที่ร้อน เนื่องจากมีม่านบังแดดหลังไฟฟ้า และแอร์ตอนหลังติดตั้งมาให้

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_131

สำหรับท่านั่งในตำแหน่งผู้ขับ จะพบว่าเบาะที่มี Memory Seat 3 ค่า พร้อมปรับตำแหน่งพวงมาลัย และกระจกข้างให้อัตโนมัติ นอกจากนี้เบาะนั้นยังมีตัว Support ต้นขาให้ปรับเพิ่มได้อีกด้วย ซึ่งช่วยให้การขับเดินทางไกล ไม่เมื่อยอีกต่อไป ในส่วนของเบาะนั่งถือว่ากระชับลำตัวเป็นอย่างดี แม้ปีกเบาะจะไม่โอบแบบรูปทรงสปอร์ตนัก แต่ก็ถือว่ามันนั่งได้ไม่อึดอัด สำหรับพื้นที่ความสูง Headroom 1,039 มม. นั้นดูจะน้อยไปนิด ซึ่งหากผู้ขับที่มีส่วนสูงอาจจะอึดอัดเล็กน้อย การที่เสา A ค่อนข้าง Slope เอียง ทำให้กระจกบานหน้าดูใกล้ชิดกับผู้โดยสารตอนหน้าไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ที่มันช่วยให้วิสัยทัศน์ทางด้านข้างขวานั้นไม่ถูกบดบังมาก เนื่องจากเสา A นั้นไม่อยู่ในตำแหน่งที่บังมุมในการมองเห็นขณะเลี้ยวขวา

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_088

ไปที่ห้องสัมภาระท้ายเมื่อเปิดฝากระโปรงหลังขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า จะพบพื้นที่เก็บสัมภาระ 435 ลิตร (480 ลิตร รุ่น C200) เนื่องจากสูญเสียพื้นที่ไปเล็กน้อยจากแบตเตอรี่ที่ถูกฝังอยู่ภายใต้เบาะหลัง

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_084

เครื่องยนต์ลูกผสม Bluetech Hybrid คือ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ ความจุ 2,143cc ให้กำลังรวม 204 แรงม้า@3,800rpm และ แรงบิด 500 Nm@1,600-1,800rpm จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่มีกำลัง 27 แรงม้า และ แรงบิด 250Nm เคลมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.4 วินาที และ Top Speed 244 กม./ชม. คายไอเสียเพียง 94 – 104 กรัม/กม.

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_041

ในด้านของประสิทธิภาพในการขับขี่ เราต้องขอบอกเลยว่ามันทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมมาก จะว่าไปมันเป็นรถเครื่องดีเซลที่ดีที่สุดที่ผู้เขียนเคยสัมผัสมาเลยก็ว่าได้  อัตราเร่งจากแรงบิดที่รอบต่ำเพียง 1,500rpm มีให้ใช้อย่างมหาศาล ช่วยให้รถเร่งแซงพุ่งทะยานได้ในเสี้ยวอึดใจ แม้นิสัยใจคอรถดีเซลต้นดีปลายย้วย ความเร็วช่วงปลายที่รอบสูงอาจไม่หวือหวาแบบรถเบนซิน แต่ทว่า C300 Bluetech Hybrid คันนี้ สามารถส่งคุณทะยานความเร็วไปที่ Top Speed ตามเคลม (240 กม./ชม.+) ได้ไม่ยากหากถนนมีเพียงพอ ยิ่งผสานการทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7G-Tronic Plus ซึ่งได้พัฒนาไปอีกขั้นจาก 7G-Tronic มันถ่ายทอดกำลังได้อย่างเต็มเปี่ยม แต่ยังมอบความนุ่มนวล และความรวดเร็ว ในการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งมันดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด การเปลี่ยนเกียร์สมูท เงียบ ราบเรียบแทบไม่สัมผัสถึงรอยต่อ ไม่ว่าคุณจะเหยียบคันเร่งหนักแค่ไหนก็ตาม ซึ่งจะว่าไปมันทำได้ดีกว่าเกียร์ 8AT ในรถยุโรประดับเดียวกันอีก 2 ค่ายด้วยซ้ำ

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_180

โหมดการขับขี่ Agility ที่ควบคุมการตอบสนองของคันเร่งจาก ECU มีทั้งหมด 4 โหมด Comfort, Eco, Sport, Sport+  ซึ่งมันปรับได้ลำบากนิดจากการที่มันดันไปอยู่ฝั่งผู้โดยสาร ตามที่เราได้กล่าวไปข้างต้น

– Eco คันเร่งจะค่อนข้างหน่วงตอบสนองช้า และลดการทำงานของระบบปรับอากาศลง และ ระบบ Auto/Start Stop จะทำงานขณะจอดรถติด
– Comfort จะเซ็ทการตอบสนองของคันเร่งกลางๆ และ Climate มาในแบบสบายๆ สำหรับความสบายเป็นหลัก ขณะที่ระบบช่วงล่างจะปรับความนุ่มนวลเพื่อความนิ่มนั่งสบาย
– Sport การตอบสนองของพวงมาลัยจะแม่นยำขึ้น, ช่วงล่างเฟิร์มขึ้น และคันเร่งที่ตอบสนองฉับไว
– Sport+ ทั้งพวงมาลัย, แชสซีส์ และระบบขับเคลื่อน จะตอบสนองได้อย่างเร้าใจมากขึ้นกว่า Sport Mode

ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีข้อกังขาใดๆ ในด้านสมรรถนะของระบบขับเคลื่อนของ C300 Bluetech Hybrid คันนี้ ที่ทำได้ดีเยี่ยม

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_050

มาว่ากันต่อที่อัตราสิ้นเปลือง Mercedes เคลมค่าเฉลี่ยไว้ที่ 25-27.7 กม./ลิตร  แต่เราพบว่าอัตราสิ้นเปลืองจากการใช้งานตามสภาพความเป็นจริงจะอยู่ที่ราว 17 กม./ลิตร ซึ่งที่จริงมันน่าจะทำได้ดีกว่านี้อีก  โดยการขับขี่ผู้เขียนใช้โหมด Eco เป็นหลัก มีใช้โหมด Sport ในการเร่งแซงบ้าง กับ Sport+ ในบางครั้งที่ลองทำความเร็วสูงอีกเล็กน้อย ปะปนกับช่วงรถติดบ้างอีกเล็กน้อย

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_175

สิ่งที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้คือการทำงานของระบบ Hybrid ที่ยังไม่ได้พูด  แม้รถจะมีระบบ Auto/Start Stop ซึ่งจะทำงานอัตโนมัติ ร่วมกับโหมด E-Drive คือเครื่องยนต์ดับวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว มันเริ่มตั้งแต่การสตาร์ทรถโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงเท่านั้น (เมื่อแบตเตอรี่มีประจุเหลือเพียงพอ)  แต่ทว่ามันกลับไม่สามารถเลือกปรับโหมดการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (EV) เพียงอย่างเดียวได้ เพราะระบบจะคำนวนใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนหลักๆ ในช่วงเพิ่งสตาร์ทรถ และขับเคลื่อนที่รอบต่ำเท่านั้น นอกจากนั้นการทำงานอของเครื่องยนต์จะเข้ามาสอดแทรกร่วมด้วยตลอด

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_174

แม้ในจังหวะที่เบรก หรือ ทำการถอนคันเร่ง มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่เป็น Generator แปลงพลังงานจลน์ที่เกิดขึ้นกลับไปชาร์จเป็นประจุเก็บไว้ในแบตเตอรี่ Li-ion  เมื่อรถเริ่มลอยลำที่ความเร็วระดับหนึ่ง และค่อยๆลดความเร็วลง เครื่องยนต์จะมีจังหวะที่หยุดการทำงานไปชั่วขณะ มอเตอร์ไฟฟ้าก็จะช่วยส่งกำลังเพื่อให้รถสามารถเคลื่อนตัวต่อได้ระยะหนึ่ง แต่เมื่อเติมคันเร่งต่อไปอีกนิด หรือ ประจุแบตเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ เครื่องยนต์ก็จะกลับมาทำงานอีก ซึ่งจะว่าไปแล้ว นั่นคือการทำงานของเครื่องยนต์และ มอเตอร์ไฟฟ้าที่สอดผสานคอยช่วยเหลือกัน ไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวต่อเนื่องได้อย่างรถที่มีระบบ EV ที่สามารถวิ่งจิรงได้ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. + ชั่วระยะเวลาหนึ่งที่มีแบตเตอรี่

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_134

ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัย 3 ก้าน ท้ายตัดทรงสปอร์ตผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า และน้ำหนักถูกปรับตามความเร็วรถ

มันสามารถเซ็ทน้ำหนักของพวงมาลัยได้ 2 แบบ Sport และ Comfort ซึ่งผู้เขียนได้เซ็ทน้ำหนักของพวงมาลัยไว้ที่แบบ Sport จะพบว่าในช่วงความเร็วต่ำการสาวพวงมาลัยนั้นถือว่าผ่อนแรงได้ระดับหนึ่ง แม้ไม่เบาหว๋องชนิดไร้น้ำหนัก แต่ก็ยังพอให้ความกระฉับกระเฉงได้ดี (หากต้องการเน้นความเบาคงต้องปรับไปที่ Comfort) การเคลื่อนตัวที่ความเร็วสูงขึ้นพวงมาลัยให้ความหนักแน่นเพิ่มตามความเร็วที่มากขึ้น โดยมีระยะช่วงฟรีของพวงมาลัยเพียงเล็กน้อย นั่นจึงทำให้การขับขี่ที่ความเร็วสูงพวงมาลัยยังคงให้ความหนักแน่นได้เป็นอย่างดี การเลี้ยวโค้งให้น้ำหนักแรงต้านมือในระดับที่ดีไม่หนักเหมือนรถสปอร์ตอื่นๆ แต่ก็ไม่เบาจนคุมรถลำบาก ซึ่งถือได้ว่าเป็นน้ำหนักพวงมาลัยที่ดีเยี่ยม เหมาะสมกับการขับขี่อย่างแท้จริง

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_045

ระบบกันสะเทือน แบบอิสระ 4 ล้อ ในรุ่น AMG Dynamic คันนี้ ใช้ช่วงล่างแบบสปอร์ตที่เตี้ยลง ต้องเรียกได้ว่าปรับเซ็ทมาได้อย่างเหมาะเจาะ กับรูปลักษณ์รถสปอร์ต และการขับในรูปแบบที่เน้นสมรรถนะให้สมกับชื่อ AMG

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_032

ช่วงล่าง แม้อาจถูกมองว่าแข็งไปหน่อย สำหรับคุณผู้ใหญ่ หรือผู้โดยสารตอนหลัง ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมีผลมาจากล้ออัลลอยขอบ 18” ที่มีแก้มยาง 45 มม. ทางด้านหน้า และ ด้านหลังเหลือเพียง 40 มม. แต่ในด้านการซับแรงมันยังทำหน้าที่ได้ดี ช่วงล่างที่ดูหนักแน่นตามสไตล์ Mercedes ที่ไม่นุ่มจนย้วย มันลงตัวมากทีเดียว การตอบสนองไปพร้อมกับระบบบังคับเลี้ยวที่ให้ความสมดุลย์ ช่วยให้รถ C300 Bluetech Hybrid AMG Dynamic คันนี้เป็นรถที่มีแชสซีส์ และการตอบสนองของพวงมาลัยที่ขับได้สนุกมากที่สุดของรถ Hybrid ที่ผู้เขียนได้เคยทดสอบมากเลยก็ว่าได้

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_070

ระบบเบรก แบบดิสก์ 4 ล้อ คาลิปเปอร์ขนาดใหญ่ มีคำว่า Mercedes-Benz สกรีนอยู่บนตัวคาลิปเปอร์ พร้อมระบบ ABS ที่มาพร้อมระบบช่วยเบรก BAS, Adaptive Brake ไม่พอแค่นั้น ยังมีฟังก์ชั่น HOLD และ Hill Start Assist ที่ช่วยในการล๊อกเบรกบนทางลาดชันช่วยไม่ให้รถไหลขณะออกตัวอีกด้วย

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_036

การใช้งานนั้นถือว่าเป็นเบรกของรถ Hybrid สมรรถนะสูงที่ทรงประสิทธิภาพ ในการหยุดชะลอรถได้อย่างดีเยี่ยม อาการเบรกหน่วง เบรกเฟด ที่มักชอบพบในรถ Hybrid ไม่ว่าคุณจะเบรก ด้วยความความนุ่มนวล หรือหนักหน่วง คาลิปเปอร์เบรกขนาดใหญ่ของ C300 คันนี้ ก็สามารถจัดการกับฝูงม้า 204 ตัว และแรงบิดขนานใหญ่ 500Nm ได้แบบสบายๆ ไร้กังวล

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_021

ระบบเทคโนโลยีความปลอดภัย ทั้งกล้องมองภาพด้านหลัง ถุงลมนิรภัยทั้งสิ้นถึง 8 ตำแหน่ง, ระบบ Pre Safe, ระบบควบคุมการทรงตัว ESP, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR, ระบบช่วยเตือนการเหนื่อยล้า Attention Assist, เซ็นเซอร์ Parktronic

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_037

บทสรุป รีวิว Mercedes-Benz C300 Bluetech Hybrid AMG Dynamic คันนี้ ถือเป็นรถ Compact Saloon ที่มาพร้อมความหรูหรา มีระดับทั้งภายนอก, ภายใน ที่ให้เทคโนโลยีครบครัน  เครื่องยนต์ดีเซลที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดได้อย่างทรงพลัง  ประสิทธิภาพของทั้งระบบส่งกำลัง ระบบขับเคลื่อน แชสซีส์ การควบคุมทั้งหมดยอดเยี่ยมสมชื่อ AMG

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_025

ในราคา 3.09 ล้านบาทก็ถือว่า OK เลยสำหรับรถเยอรมันในระดับออปชั่นขนาดนี้  แต่ถ้าคุณไม่ต้องการรูปลักษณ์สปอร์ต และประสิทธิภาพของการขับขี่แบบสปอร์ต คุณอาจเลือกรุ่น Exclusive ในราคาถูกลงที่ 2.84 ล้านบาท

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_028

จุดเด่นของรถ

  • ระบบขับเคลื่อน+ระบบส่งกำลังที่ทรงประสิทธิภาพทั้งเครื่องยนต์ เกียร์, เบรก, ช่วงล่าง, พวงมาลัย
  • รูปลักษณ์หรูหรามีระดับ ทั้งภายนอก-ภายใน

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_040

จุดที่น่าจะมีเพิ่มเติม

  • ระบบไฮบริดที่น่าจะมีโหมด EV ให้สามารถวิ่งใช้งานได้จริง (ยาวนานมากกว่านี้) เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้าของ C300 Bluetech Hybrid คันนี้ เป็นเพียงการผสานงานกับเครื่องยนต์ให้สอดคล้องในแบบช่วย ซึ่งยังไม่มี EV Mode ให้ขับเคลื่อนโดยตรง
  • หน้าจอ Freestand ที่น่าจะปรับรูปทรงให้ดูหรูขึ้นเข้ากับภายในของ C-Class มากกว่านี้

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_053

ขอขอบคุณ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบ Mercedes-Benz C300 Bluetech Hybrid AMG Dynamic

ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver 9carthai

Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_006 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_008 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_007 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_005 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_004 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_002 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_003 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_009 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_015 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_012 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_013 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_014 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_016 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_017 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_018 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_019 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_020 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_010 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_011 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_021 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_022 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_023 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_025 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_024 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_026 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_027 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_028 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_029 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_030 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_031 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_032 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_033 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_034 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_035 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_036 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_037 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_038 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_039 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_040 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_041 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_042 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_043 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_044 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_045 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_046 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_047 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_048 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_053 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_054 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_062 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_061 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_063 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_049 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_050 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_051 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_052 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_066 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_065 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_068 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_067 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_064 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_069 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_070 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_072 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_073 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_075 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_074 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_156 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_155 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_154 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_151 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_152 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_153 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_076 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_077 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_078 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_079 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_080 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_150 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_081 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_059 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_060 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_084 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_085 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_082 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_083 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_086 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_087 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_088 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_089 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_090 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_091 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_092 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_093 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_094 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_095 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_096 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_097 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_098 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_099 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_100 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_101 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_102 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_103 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_104 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_105 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_106 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_107 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_108 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_109 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_001 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_110 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_111 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_112 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_113 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_114 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_167 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_115 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_116 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_117 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_118 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_119 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_120 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_121 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_122 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_123 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_124 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_125 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_126 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_127 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_128 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_129 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_130 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_131 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_132 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_134 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_135 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_136 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_133 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_137 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_138 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_139 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_140 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_141 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_147 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_146 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_142 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_143 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_144 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_145 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_157 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_158 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_159 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_160 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_161 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_162 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_164 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_165 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_168 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_163 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_148 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_169 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_170 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_172 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_173 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_174 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_175 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_176 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_177 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_178 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_179 Review-Mercedes-Benz-C300-Bluetech-Hybrid_pon-9carthai_180

ใหม่ Kawasaki Z125 Pro 2015-2016 ราคา คาวาซากิ Z125 Pro ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์

$
0
0

ใหม่ Kawasaki Z125 Pro 2015-2016 ราคา คาวาซากิ Z125 Pro ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์

Kawasaki-Z125

KAWASAKI” ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดโฉมรถจักรยานยนต์ซุปเปอร์เนคเก็ตขนาด 125 ซีซี หัวฉีด ตระกูล “Z” ในรูปแบบ Auto และ Manual ให้บรรดาผู้หลงใหลและชื่นชอบความสปอร์ตได้ยลโฉมและสัมผัสเป็นครั้งแรกพร้อม กันทั่วประเทศ ในสไตล์ Super Naked ทำให้รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่คันนี้มีฟังก์ชั่นที่ครบครันเริ่มตั้งแต่ โช้คหัวกลับแบบสปอร์ต โช้คหลังเดี่ยวออฟเซ็ตแนวนอนปรับระดับได้

Kawasaki Z125 ราคา
ราคา Kawasaki Z125 (Auto Clutch) คาวาซากิ Z125 74,990.
ราคา Kawasaki Z125 Pro (Manual Clutch) คาวาซากิ Z125 Pro 74,990.

ราคา คาวาซากิ Z125 Pro ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์
KAWASAKI Z125 ราคา, ราคาผ่อน

การออกแบบรูปลักษณ์ที่มีความโดดเด่นเรือนไมค์วัดรอบอะนาล็อคเช่นเดียว กับรถแข่งรวมถึงจอ LED ดิจิตอลที่รวมฟังก์ชั่นครบครันแสดงผลชัดเจน ทั้งหมดนี้คือรถจักรยานยนค์สไตล์ซุปเปอร์เนคเก็ตที่คล่องตัวที่สุดของคาวาซา กิ ที่จะพาท่านท่องไปในเมืองได้อย่างใจนึก แหละนี่คือความใส่ใจที่คาวาซากิที่มอบให้แก่ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อทุกความ รู้สึกการขับขี่อย่างมีสไตล์ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของคาวาซากิอย่างแท้จริง

Kawasaki-Z125-World-Premiere_38_resize

เครื่องยนต์ 125 ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศ สูบเดียว ระบบหัวฉีด ให้พละกำลังเต็มพลังตอบสนองฉับไวเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ โช้คหน้าหัวกลับรับแรงกระแทกทุกการขับขี่ โช้คหลังเป็นแบบโช้คเดี่ยวออฟเซ็ตแนวนอนสามารถปรับพรีโหลดได้ถึง 4 ระดับ รูปโฉมภายนอกเป็นแบบ Super Naked ดุดัน สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ตระกูล “Z” อย่างลง

Kawasaki-Z125-World-Premiere_42_resize

ดีไซน์เรือนไมล์สไตล์สปอร์ต วัดรอบอะนาล็อคเหมือนรถแข่ง พร้อมจอ LCD ดิจิตอล ไฟหน้าเดี่ยวมัลติรีเฟลกเตอร์แบบสปอร์ต ให้อิมเมจความเพรียวแก่ตัวรถและให้แสงสว่างที่ชัดเจนเพื่อการมองเห็นในยาม ค่ำคืน

Kawasaki-Z125-World-Premiere_36_resize

รวมถึงไฟท้าย LED ดีไซน์เฉียบเป็นรูปตัว “Z” เช่นเดียวกับ “Z 800” พร้อมเบาะใหม่สไตล์สปอร์ต สวิทช์กุญแจตรงหน้าถังน้ำมัน เพิ่มอิมเมจความสปอร์ตให้กับตัวรถ

Kawasaki-Z125-World-Premiere_37_resize

อีกทั้งท่อไอเสียออกล่างให้ความคอมแพคกับตัวรถ ตำแหน่งพักเท้า และเกียร์โยงสำหรับผู้ขับขี่สไตล์บิ๊คไบค์ แล้วคุณจะพบว่า คาวาซากิ “Z 125” เป็นรถสไตล์สปอร์ต ที่ดุดัน เหมือนกันกับรุ่นอื่น ๆ ในตระกูล Z ของคาวาซากิ โดดเด่น สะดุดตา พร้อมทะยานไปกับคุณทุกที่ แม้เพียงนั่งคร่อม

Kawasaki-Z125-World-Premiere_11_resize

 

COLORS สี KAWASAKI Z125

โดยคาวาซากิ Z125 และ Z125 Pro วางจำหน่าย 3 สีด้วยกันคือ 1.สีเขียวมะนาว (Candy Lime Green)  2.สีเทาเมทัลลิคกราไฟต์ (Metallic Graphite Gray) 3.สีส้มแคนดี้ไหม้ (Candy Burnt Orange)

 

1

NEW KAWAZAKI Z125 PRO (2015) สี เทา-ดำ

2

NEW KAWAZAKI Z125 PRO (2015) สี เขียว-ดำ

3

NEW KAWAZAKI Z125 PRO (2015) สี ส้ม-ดำ

SPECFICATION KAWAZAKI Z125 PRO 2015

รหัสรุ่น KAWAZAKI Z125 PRO
เครื่องยนต์ 4 จังหวะ สูบเดี่ยว SOHC 2 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยอากาศ
ปริมาตรกระบอกสูบ 125 ซีซี
ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก มม. 56.0 x 50.6 มม.
อัตราส่วนแรงอัด  9.8:1
ระบบคลัทช์ Z125 : แบบเปียก, แรงเหวี่ยง
Z125 PRO : แบบเปียก, manual
ระบบส่งกำลัง (ระบบเกียร์) 4 เกียร์ แบบวน
ระบบจุดระเบิด Digital
ระบบการติดเครื่องยนต์ สตาร์ทมือด้วยระบบไฟฟ้า
ขนาด กว้าง x ยาว x สูง (มม.) Z125 : 1,700 x 740 x 1,005 มม.
Z125 PRO : 1,700 x 750 x 1,005 มม.
ระยะห่างช่วงล้อ (มม.) 1,175 มม.
ระยะห่างจากพื้น (มม.) 155 มม.
ความสูงจากพื้นถึงเบาะ (มม.) 780 มม.
ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง (ลิตร) 7.4 ลิตร
น้ำหนักสุทธิ (กก.) 101 กก.
ระบบกันสะเทือน (หน้า) เทเลสโคปิคหัวกลับ ระยะการทำงาน 30 มม.
ระบบกันสะเทือน (หลัง) แบบเดี่ยว ทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม สามารถปรับตั้งได้แบบฟรีโหลด
ระบบห้ามล้อ (หน้า) ดิสก์เบรกลูกสูบเดี่ยว จานเบรกขนาด 200 มม.
ระบบห้ามล้อ (หลัง) ดิสก์เบรกลูกสูบเดี่ยว จานเบรกขนาด 184 มม.
ล้อ หน้า-หลัง ล้อแม็ก
ขนาดยาง (หน้า) 100/90-14 49J
ขนาดยาง (หลัง) 120/70-12 51L
น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันแก๊สโซฮอล์ค่าออกเทน 91 ขึ้นไป หรือ E20

 

Kawasaki-Z125-World-Premiere_43_resize

Kawasaki-Z125-World-Premiere_13_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_09_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_14_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_11_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_15_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_18_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_12_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_20_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_04_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_03_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_22_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_23_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_24_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_25_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_43_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_26_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_27_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_28_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_31_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_32_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_33_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_34_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_35_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_36_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_37_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_38_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_39_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_40_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_41_resize Kawasaki-Z125-World-Premiere_42_resize

รีวิว Amazing New Chevrolet Cruze 2015 ดีไซน์หรูขึ้นอีกนิด กับหัวใจที่รองรับ E85

$
0
0

รีวิว Amazing New Chevrolet Cruze ดีไซน์หรูขึ้นอีกนิด กับหัวใจที่รองรับ E85

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_01

Chevrolet Thailand ได้เปิดตัวรถ Amazing New Cruze ใหม่ ที่งาน Big Motor Sales 2015 ที่ผ่านมาในช่วงเดือน สค. ที่ผ่านมา โดยทางค่าย Bowtide นี้ได้ทำการออกแบบปรับแต่งรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ ให้ดูหรูขึ้นเอาใจคนไทยมากกว่าเดิม

ซึ่งในครั้งนี้ทาง 9carthai ของเราก็ขอมานำเสนอกับรีวิว Amazing New Chevrolet Cruze นี้กันดูบ้างครับ

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_41

ภายนอกของ Amazing New Cruze โดดเด่นด้วยการดีไซน์ภายนอกรูปลักษณ์ใหม่ ซึ่งสะกดสายตาได้พอสมควร (ในวันที่เราได้นำรถมาทดสอบ มีผู้ใช้รถ Chevrolet Cruze โฉมเก่าสีขาวได้มาถ่ายรูปรถ New Cruze คันนี้ด้วย)

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_09

ด้านหน้าของ New Cruze ใหม่ ถูกออกแบบกระจังหน้าใหม่ Dual Port Grille พร้อมกันชนดีไซน์ใหม่ ที่ติดตั้งไฟ DRL แบบ LED ที่ตกแต่งด้วยกรอบโครเมี่ยม โดยมีไฟตัดหมอกอยู่ด้านล่าง, ไฟท้ายดีไซน์ใหม่ แรงบันดาลใจจาก Camaro, ด้านท้ายดีไซน์ใหม่ ฝากระโปรงหลังเปิด-ปิดจากรีโมท หรือ ภายในรถเท่านั้น, ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 17” สวมยาง 215/50/17 จาก Bridgestone Turanza ER300

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_34

ด้านมิติตัวรถ กว้างxยาวxสูง = 1,790 x 4,600 x 1,475 มม. มีระยะฐานล้อ 2,685 มม. น้ำหนักรถเปล่าอยู่ที่ 1,315 กก. มีความจุถังน้ำมัน 60 ลิตร

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_78

ภายในห้องโดยสาร ใช้สีทูโทนน้ำตาลแดง และดำ โดยตกแต่ง Trim ด้วยสีเทา Polar Silver ให้ความรู้สึกสปอร์ต ในแบบเดียวกับรถอเมริกัน Muscle

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_57

ปุ่ม Push Start และระบบกุญแจ PEPS ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ซึ่ง Chevrolet สามารถตั้งค่าระบบล๊อกประตูที่ได้หลากหลายทั้งแบบล๊อกทีละ 1 บาน 2 บาน หรือ 4 บาน เพื่อความปลอดภัยสูงสุดแก่เจ้าของรถ

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_81

พวงมาลัยมีปุ่ม Multifunction พร้อมปุ่มเชื่อมต่อโทรศัพท์ Bluetooth ขณะที่ด้านซ้ายมีปุ่ม Cruise Control
หน้าจอทัชสกรีน 7” ที่มาพร้อมระบบ MyLink และลำโพง 6 จุด ซึ่งระบบเครื่องเสียงนี้รองรับทั้ง USB, CD, AUX
กระจกมองหลังแบบปรับแสงออโต้, แอร์อัตโนมัติ, ก้านปัดน้ำฝน Auto Rain Sensor, ไฟหน้าเปิด-ปิดออโต้ นอกจากนี้ทางฝั่งซ้ายของแผงเกียร์จะมีปุ่มปิด Traction Control ให้เลือกปิดได้ด้วย

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_71

เบาะหลังพับได้แบบ 60:40 ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่ความจุบริเวณห้องเก็บสัมภาระ ที่เดิมมี 400 ลิตร ให้กว้างขวางมากกว่าเดิม

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_86

สำหรับการใช้งานในห้องโดยสารนั้น เบาะนั่งค่อนข้างกระชับลำตัวดี แต่เราพบว่าที่แผงคอนโซลกลางปุ่มดูเยอะ อาจทำให้งงๆ ใช้งานยากนิด ร่วมกับช่องเก็บของตรงคอนโซลกลาง ที่ค่อนข้างน้อย และที่เก็บของใต้ที่เท้าแขนด้วยเช่นกัน แต่พื้นที่เก็บสัมภาระท้าย นั้นกว้างขวาง (ลึก) สามารถใส่กระเป๋าเดินทางแบบเดินทางไปเที่ยวได้เป็นครอบครัวอย่างสบายๆ

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_73

เครื่องยนต์ Ecotec เบนซิน ความจุ 1,796cc DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Double CVC ปรับจูนให้เป็นรถ FFV รองรับน้ำมัน E85 ให้พละกำลังสูงสุด 141 แรงม้า@ 6,200 rpm แรงบิดสูงสุด 177 นิวตันเมตร@ 3,800 rpm ส่งกำลังผ่านเกียร์ 6 Speed DSC เจนเนอเรชั่น 2 ที่สามารถ Shift + – ได้โดยการโยกที่คันเกียร์

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_10

ในด้านสมรรถนะของการขับขี่ New Cruze เครื่องยนต์ 1.8 Ecotec ให้การตอบสนองของอัตราเร่งในแบบที่เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรทั่วไปควรจะเป็น เหยียบคันเร่ง KickDown รอบเครื่องกวาดขึ้นไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะถูกตัดขึ้นเกียร์ใหม่ช่วง 6,200rpm ซึ่งในระหว่างนี้เราพบว่าการทำงานของเครื่องยนต์ที่รอบสูงนั้น ส่งเสียงดังมาก ทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสาร ซึ่งให้ฟีลลิ่งในการขับขี่ราวกับรถสปอร์ตดี แต่กับความเป็นรถ Compact ที่มีรูปลักษณ์เน้นหรูเช่นนี้น่าจะเงียบกว่านี้หน่อย

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_51

นอกจากนี้การเซ็ทอัตราทดเกียร์ที่เน้นอัตราเร่งที่ดีขึ้น อาจทำให้การขับที่ความเร็วสูงขึ้น จะพบว่าเครื่องยนต์กินรอบเครื่องค่อนข้างสูงเล็กน้อย
ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. = 2,200rpm และ 120 กม./ชม. = 2,600rpm

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_12

การตอบสนองของเกียร์ Gen II ซึ่ง Chevrolet ได้เคลมเรื่องความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ที่ทำได้ลื่นไหลขึ้น ให้การตอบสนองได้ดีทั้งในโหมด D และ M ที่จะต้องเปลี่ยนเกียร์ด้วยตนเอง

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_28

สำหรับจุดเด่นของ Cruze อีกจุดอยู่ที่เครื่องยนต์ FFV ที่เติม E85 ได้ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในกระเป๋ามากขึ้น ขณะที่ตามเคลมจากคู่มือ จะอยู่ที่ราว 12 กม./ลิตร ด้วยน้ำมันปกติ และ 12.7 กม./ลิตร ด้วยน้ำมัน E85 ซึ่งนั่นหมายความว่า New Cruze ได้ถูกปรับเซ็ทมาเพื่อเติมน้ำมัน E85 โดยเฉพาะ ในขณะที่เราสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ที่ราว 10-11 กม./ลิตร จากน้ำมัน E10 (แก๊สโซฮอล์ 91)

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_79

ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS ที่มีน้ำหนักเบา ให้การสาวพวงมาลัยทำได้อย่างคล่องตัวสะดวกสบาย ต่อการใช้งานที่ความเร็วต่ำขณะเคลื่อนตัว แต่เมื่อขับที่ความเร็วสูงขึ้นกลับพบว่า ช่วงฟรีค่อนข้างมากไปหน่อย น้ำหนักและความหนืดลดลง ทำให้ไม่หนักแน่นเท่าที่ควร และอาจต้องประคองในจังหวะขับผ่านเส้นทางที่ขรขรุ ซึ่งพวงมาลัยยังดูดิ้นตามสภาพพื้นผิวพอสมควร ซึ่งผู้เขียนยังคิดถึงฟีลลิ่งของพวงมาลัยของ Cruze 2.0 ดีเซล ที่ให้การตอบสนองในการขับขี่ได้ดีกว่าแม้ พวงมาลัยจะหนักกว่ารุ่น 1.8 นี้ก็ตาม

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_05

ระบบกันสะเทือน ช่วงล่าง Euro-Ride แน่นขึ้นชื่อ ทรงดี ไม่แข็ง และไม่นุ่มเกินไป ให้ความหนึบในการเกาะถนนที่ดีระดับหนึ่ง ด้วยระยะฐานล้อที่ค่อนข้างกว้าง จึงทำให้การยึดเกาะหนึบแน่นทั้งทางตรงและทางโค้ง แต่อาจมีอาการท้ายดื้อโค้งบ้างทางด้านหลังเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วมากกว่าปกติ เนื่องจากเป็นสไตล์ของช่วงล่างหลังแบบคานแข็ง (Torsion Beam) อาจจะมีอาการท้ายไถลออกแบบเลี้ยวไม่เข้าบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมนั้น ถือว่า Cruze เป็นรถที่ใช้ช่วงล่างแบบคานแข็งที่ดีมากคันหนึ่ง

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_19

ระบบเบรก ดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่มาพร้อม ABS (ป้องกันล้อล๊อก), EBD (กระจายแรงเบรก), BA (เสริมแรงเบรก) ใน Cruze ใหม่นี้ ยังทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความมั่นใจในทุกการชะลอความเร็ว และยังคงให้ประสิทธิภาพในการชะลอความเร็วลงได้อย่างนุ่มนวลเท้า เช่นเคย เบรกไม่จิกทำให้ผู้โดยสารรู้สึกเวียนหัวจากอาการหน้าทิ่มมากจนเกินไปอีกด้วย

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_08

ระบบความปลอดภัย ใน Amazing New Cruze ยังคงให้ กระจกหน้านิรภัย Laminated, กุญแจ Immobilizer และสัญญาณกันขโมย, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า และ ด้านข้าง, ESC ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว, TCS ระบบป้องกันล้อลื่นไถล, ระบบยึดเบาะนั่งนิรภัย ISOFIX สำหรับเด็ก

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_20

สรุป Chevrolet Cruze รถ Compact Sedan มาดหรูสไตล์อเมริกัน อาจจะแพงไปเสียนิด กับรถในพิกัดเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร FFV ที่เติม E85 ได้ แต่ อย่าลืมว่าผู้ซื้อจะได้ Chevrolet Complete Care Program 3 ปี หรือ 1 แสน กม. ให้คุณได้อุ่นใจไประดับหนึ่ง ซึ่งหากคุณชอบในลักษณะช่วงล่างที่แน่นเฟิร์มสไตล์รถอเมริกัน และรูปลักษณ์ที่หรูมีระดับของรถ Compact Sedan คุณไม่ควรพลาด Amazing New Cruze

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_02

จุดเด่น
– ดีไซน์ภายนอก ใหม่ แบบรถอเมริกัน พร้อมไฟท้ายแบบ Chevy Camaro
– ช่วงล่าง Euro Ride ซึ่งถือว่าเป็นช่วงล่างที่แน่นเฟิร์ม มากที่สุดคันหนึ่งในรถที่ใช้ระบบช่วงล่างหลังแบบ Torsion Beam
– ระบบเซ็ทการปลดล๊อกประตูได้หลายแบบ ช่วยในด้านความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_84

จุดที่น่าจะมีเพิ่ม
– แอร์ตอนหลัง, กล้องมองภาพหลัง
– ระบบบังคับเลี้ยว ที่หนักแน่นในแบบเดียวกับช่วงล่าง
– เทคโนโลยีช่วยขับขี่ที่น่าจะหยิบยกจากรุ่นใหญ่อย่าง Trailblazer ให้เพิ่มเติมอีกเล็กน้อยอย่าง HSA เป็นต้น

Chevrolet Cruze ปี 2015 รุ่น LTZ มีราคาจำหน่ายที่ 998,000 บาท และรุ่น LT ราคา 946,000 บาท

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_17

ขอขอบคุณ Chevrolet Sales ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบ Chevrolet Cruze LTZ

ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver 9carthai

review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_01 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_02 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_42 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_46 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_45 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_41 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_03 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_05 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_06 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_08 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_43 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_34 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_07 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_09 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_13 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_10 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_11 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_12 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_20 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_39 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_91 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_37 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_35 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_90 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_36 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_15 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_16 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_29 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_17 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_25 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_26 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_27 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_28 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_30 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_31 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_32 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_33 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_19 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_18 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_88 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_89 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_49 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_50 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_51 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_52 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_53 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_54 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_55 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_56 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_57 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_58 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_59 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_60 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_61 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_62 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_63 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_64 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_65 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_66 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_67 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_68 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_69 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_70 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_71 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_72 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_73 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_74 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_75 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_76 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_77 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_78 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_79 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_80 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_81 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_82 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_83 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_84 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_85 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_86 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_87 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_92 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_93 review-amazing-new-chevrolet-cruze-2015_95

ใหม่ ALL New Mazda CX-3 2015-2016 ราคา มาสด้า ซีเอ็กซ์-3 ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์

$
0
0

ใหม่ ALL New Mazda CX-3 2015-2016 ราคา มาสด้า ซีเอ็กซ์-3 ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์

2

123456788-18-28-39  111012141516131718

ALL NEW MAZDA CX-3 มองโลกมุมใหม่…อิสระไร้ขีดจำกัด
ลืมทุกความรู้สึกแบบเดิมๆ สู่อีกขั้นของความเร้าใจครั้งใหม่ มาสด้า CX-3 ใหม่ มิติใหม่ของ Freestyle Crossover ที่ท้าทายทุกสายตาด้วยดีไซน์ล่าสุดของรถมาสด้าเจเนอเรชั่นที่ 6 KODO DESIGN ทั้งแรงทั้งประหยัด เหนือชั้นด้วยเทคโนโลยีแอคทีฟ ครบครันด้วยฟังก์ชั่นสุดล้ำ และระบบความปลอดภัยขั้นสุดเทียบชั้นรถยนต์ยุโรป

ALL NEW MAZDA CX-3 ราคา
ราคา ALL NEW MAZDA CX-3 มาสด้า CX-3 รุ่น 2.0 E Skyactiv-G เบนซิน A/T ราคา 835,000.
ราคา ALL NEW MAZDA CX-3 มาสด้า CX-3 รุ่น 2.0 C Skyactiv-G เบนซิน A/T ราคา 910,000.
ราคา ALL NEW MAZDA CX-3 มาสด้า CX-3 รุ่น 2.0 S Skyactiv-G เบนซิน A/T ราคา 975,000.
ราคา ALL NEW MAZDA CX-3 มาสด้า CX-3 รุ่น 2.0 SP Skyactiv-G เบนซิน A/T ราคา 1,045,000.
ราคา ALL NEW MAZDA CX-3 มาสด้า CX-3 รุ่น 1.5 XDL Skyactiv-D ดีเซล A/T ราคา 1,155,000.

ราคา มาสด้า CX3 ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์
MAZDA CX-3 ราคา, ตารางผ่อน

อุปกรณ์มาตรฐาน ALL NEW MAZDA CX-3 2015

ความยาว x ความกว้าง x ความสูง = (4,275 x 1,765 x 1,550)

ALL NEW MAZDA CX-3 2015 รุ่น 2.0 E Skyactiv-G เบนซิน A/T  835,000.
ภายนอก
– ไฟหน้าโปรเจกเตอร์ (แบบ Halogen)
– ไฟท้าย
– ที่ปัดน้ำฝนกระจกหน้าแบบหน่วงเวลา
– ที่ปัดน้ำฝนกระจกหลังแบบหน่วงเวลา
– สปอยเลอร์หลัง
– กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว
– กระจกกรองแสงรอบคันพร้อมลดเสียงรบกวนจากภายนอก (Green Tinted Mirror)
– เสาอากาศแบบครีบฉลาม
– ท่อไอเสียคู่แบบสปอร์ต พร้อมปลายท่อโครเมียม

ภายใน
– ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ (Push Start Button)
– สวิตช์ Drive Selection
– ที่เปิดประตูด้านใน (สีเงิน)
– มาตรวัดรอบเครื่องยนต์ (แบบ Digital)
– จอแสดงข้อมูลสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและข้อมูลการขับขี่
– พวงมาลัยปรับระดับได้ 4 ทิศทาง (Till & Telescopic)
– ระบบปรับอากาศ
– ระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง
– แผงคอโซลหน้า (หลังสีดำและสีเงิน)
– วัสดุตกแต่งกรอบช่องแอร์ (สีแดง)
– วัสดุหุ้มแผงข้างประตู (ผ้าสีดำ)
– กรอบที่เปิดประตูด้านใน (สีเงิน)
– วัสดุหุ้มเบาะนั่ง (ผ้าสีดำและสีเทา)
– วัสดุหุ้มพวงมาลัย (ยูริเทน)
– วัสดุตกแต่งฐานเกียร์ (สีเงินและสีดำเปียโน)
– วัสดุหุ้มเบรกมือและหัวเกียร์ (PVC)
– ช่องใส่เอกสารหลังเบาะนั่งและผู้โดยสารตอนหน้า
– พนักพิงเบาะด้านหลังแบบแยกปรับพับ 60:40
– กระจกไฟฟ้าและระบบ Jam Protection ที่ตำแหน่งคนขับ
– ไฟส่งสว่างในห้องโดยสารตอนหน้าแบบแยกซ้ายขวา
– ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารตอนหลัง
– แผงบังแดดสำหรับผู้โดยสารคู่หน้า พร้อมกระจกส่องหน้าและฝาปิด
– ที่วางขวดน้ำประตูคู่หน้า-หลัง
– ช่องเก็บของและที่วางขวดน้ำบริเวณคอนโซลกลาง
– ราวมือจับ 4 ตำแหน่ง
– แผ่นปิดห้องสัมภาระด้านท้าย
– วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD/MP3
– ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านบูลทูธ พร้อมสวิตช์ควบคุมที่พวงมาลัย
– ระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Recognition)
– สวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย
– ช่องเชื่อมต่อ AUX และช่องจ่ายไฟสำรอง 12V
– ช่องเชื่อมต่อ USB (1ช่อง)
– ลำโพง (4 ตัว)

ระบบความปลอดภัย
– สัญญาณกันขโมย และกุญแจนิรภัย
– ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ
– ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC (Dynamic Stability Control)
– ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
– ระบบช่วยออกตัวของรถขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist)
– ระบบป้องกันล้อล็อก 4W-ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD
– ระบบควบคุมเกียร์ AAS (Active Adaptive Shift)
– ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนอัตโนมัติ เมื่อเบรกกะทันหัน ESS (Emergency Signal System)
– ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS
– พวงมาลัยยุบตัวแปรผันตามการทำงานของถุงลมนิรภัยและแป้นเบรกยุบตัวได้
– เข็มขัดนิรภัยด้านหน้า ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง ปรับระดับได้
– เข็มขัดนิรภัยด้านหลัง ELR 3 จุด 3 ตำแหน่ง
– คานเหล็กเสริมกันกระแทกด้านหน้า, ด้านข้างและด้านหลัง
– จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX
– ไฟเบรกดวงที่ 3

ALL NEW MAZDA CX-3 2015 รุ่น 2.0 C Skyactiv-G เบนซิน A/T  910,000.
– ไฟตัดหมอกคู่หน้า (แบบ LED)
– ระบบกุญแจอัจฉริยะ (Smart Keyless Entry)
– ระบบปรับอากาศ (อัตโนมัติ)
– แผงคอนโซลหน้า (หนังสีดำแต่งด้วยด้ายสีแดงและวัสดุสีเงินวาว)
– วัสดุหุ้มแผงข้างประตู (หนังสีแดงและหนังสีดำ)
– วัสดุตกแต่งด้านข้างคอนโซล
– วัสดุหุ้มเบาะนั่ง (หนังสีดำและผ้าสีเทาแต่งด้วยด้ายสีแดง)
– วัสดุหุ้มพวงมาลัย (หนังสีดำตกแต่งลายเคฟล่าและสีเงินวาว)
– วัสดุตกแต่งฐานเกียร์ (สีดำเปียโนและสีเงิน)
– วัสดุหุ้มเบรกมือและหัวเกียร์ (หนัง)
– หน้าจอสี Center Display แบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander
– ช่องเชื่อมต่อ USB 2 ช่อง
– ช่องใส่ SD Card (สำหรับระบบนำทาง Navigator)
– ลำโพง (6 ตัว)

ALL NEW MAZDA CX-3 2015 รุ่น 2.0 S Skyactiv-G เบนซิน A/T  975,000.
– ไฟหน้าโปรเจกเตอร์ (แบบ LED)
– ไฟท้ายแบบ (แบบ LED)
– ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
– ไฟหน้าปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ
– ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวันแบบ LED (Daytime Running Lamp)
– ที่ปัดน้ำฝนกระจกหน้าแบบหน่วงเวลา (อัตโนมัติ)
– แผงกันกระแทกด้านข้างสีเงิน
– ที่เปิดประตูด้านใน (สีเงินวาว)
– มาตรวัดรอบเครื่องยนต์ (แบบ Analog)
– หน้าจอ Active Driving Display
– วัสดุตกแต่งกรอบช่องแอร์ (สีเงินวาว)
– วัสดุหุ้มแผงข้างประตู (หนังสีแดงและผ้า Lux Suede สีดำ)
– กรอบที่เปิดประตูด้านใน (สีเงินวาว)
– วัสดุหุ้มเบาะนั่ง (หนังสีดำและผ้า Lux Suede สีดำแต่งด้วยด้ายสีแดง)
– วัสดุตกแต่งฐานเกียร์ (สีดำเปียโน, สีเงินวาวและแถบสีแดง)
– ระบบนำทาง Navigator
– เซ็นเซอร์กะระยะถอยหลังและกล้องมองหลัง

ALL NEW MAZDA CX-3 2015 รุ่น 2.0 SP Skyactiv-G เบนซิน A/T  1,045,000.
– ระบบปรับไฟหน้าสูงอัตโนมัติ HBC (High Beam Cantrol)
– ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring)
– ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System)
– ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
– ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ SCBS (Smart City Brake Support)
– ถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าและม่านถุงลมนิรภัย

ALL NEW MAZDA CX-3 2015 รุ่น 1.5 XDL Skyactiv-D ดีเซล A/T  1,155,000.

– อุปกรณ์เหมือน 2.0 SP เบนซิน AT (แตกต่างตรงเครื่องยนต์ 1.5 และใช้น้ำมัน ดีเซลครับ)

CX-3_8

ภายนอก ALL NEW MAZDA CX-3 2015

1
– ไฟหน้าโปรเจกเตอร์ (แบบ LED)
– ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวันแบบ LED

2
– ไฟท้าย (แบบ LED)

3
– ไฟตัดหมอกคู่หน้า (แบบ LED)

4
– ที่ปัดน้ำฝนกระจกหน้าแบบหน่วงเวลา (อัตโนมัติ)

5
– แผงกันกระแทกด้านข้างสีเงิน

CX-3_10

ภายใน ALL NEW MAZDA CX-3 2015
DISTINCTIVE LIFESTYLES โดดเด่น เร้าใจกับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง
เทคโนโลยีเชื่อมต่อโลกโซเชียล MZD CONNECT ให้คุณเดินทางและอัพเดทเทรนด์ออนไลน์ได้พร้อมๆ กัน พร้อมเสริมความปลอดภัยด้วยการออกแบบให้สกีนขนาดใหญ่บนคอนโซลหน้าอยู่ในระดับสายตา เพื่อรักษาสมาธิในการคอนโทรลรถของผู้ขับ ตอบไลฟ์สไตล์อิสระของคุณ ด้วยฟังก์ชั่นสุกล้ำครบครัน

Screenshot_13
– CENTER DISPLAY จอทัชสกีนขนาด 7 นิ้ว แสดงเมนูสั่งงานของระบบ MZD CONNECT และแดงผลฟังก์ชั่นใช้งานอื่นๆ หรือเรียกดูข้อมูลผ่านระบบสั่งการด้วยเสียง Voice Recognition

Screenshot_8
– Applications โหมดแสดงอัตราการประหยัดน้ำมัน และโหมดบำรุงรักษารถ เกี่ยวกับการขับขี่และการบำรุงรักษาตามระยะ

Screenshot_9
– Enterinment ระบบความบันเทิงในรถและเชื่อมต่อโลกโซเชียล

Screenshot_10
– Communication การเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่านนบลูบูธ รับและตอบ SMS ได้สะดวก ด้วยข้อความที่สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสม

Screenshot_11
– Navigater ระบบนำทาง

Screenshot_12
– Settings ตั้งค่าการใช้งานต่างๆ ของรถ

IMG_9789
– CENTER COMMANDER ปุ่มหมุนที่คอนโซลกลางตรงตำแหน่งใกล้มือผู้ขับที่ใช้ควบคุม MZD CONNECT เพียงหมุนหาคำสั่งที่ปรากฏขึ้นหน้าจอ CENTER DISPLAY ใช้ได้ทั้งขณะรถวิ่งหรือรถจอดนิ่ง ให้ผู้ขับใช้สมาธิกับการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น

IMG_9789.
– ACTIVE DRIVING DISPLAY สกรีนใสเหนือพวงมาลัยในระดับสายตาผู้ขับ แสดงข้อมูลสำคัญในการขับขี่ เช่น ความเร็ว, ระบบนำทาง

CX-3_27

Screenshot_14

เครื่องยนต์ SKTACTIV Technology ALL NEW MAZDA CX-3 2015
– เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ นวัตกรรมทางวิศวกรรมยานยนต์ขั้นล้ำหน้าของมาสด้า ที่ใช้ออกแบบและพัฒนารถทั้งคันขึ้นมาใหม่ เพื่อเปลี่ยนข้อจำกัดในปัจจุบันของรถ ให้ทุกองค์ประกอบมีส่วนในการช่วยประหยัดน้ำมัน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะแรงทรงพลัง ซึ่งองค์ประกอบของเทคโนโลยีนี้ ประกอบด้วยเครื่องยนต์คลีนดีเซลและเบนซิล ระบบเกียร์ โครงสร้างตัวถัง ช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยว ยนตรกรรมสกายแอคทีฟจึงเป็นรถที่ทั้งแรงทั้งประหยัดในคันเดียว

CX-3_28
– SKTACTIV – D 1.5 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล

CX-3_20
– SKTACTIV – G 2.0 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน
– เครื่องยนต์เจเนอเรชั่นล่าสุด เผาไหม้สมบูรณ์ที่สุดด้วยอัตราส่วนการอัดสูงถึง 14.0:1 ให้แรงม้าสูงถึง 156 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 204 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันถึง 16.4 กม./ลิตร

Screenshot_15
– SKTACTIV – BODY โครงสร้างตัวถังน้ำหนักเบาและได้สมดุลที่ดีกับกำลังเครื่องยนต์ใช้เหล็กกล้าทนแรงดึงสูง และโครงสร้างตัวถังแนวตรงที่มีแนวรับแรงหลายทิศทาง กระจายแรงสะเทือนจากพื้นถนนออกนอกห้องโดยสาร พร้อมกระจายแรงปะทะและดูดซับแรงสะเทือนที่ส่งถึงห้องโดยสารกรณีเกิดอุบัติเหตุ

Screenshot_16
– SKTACTIV – DRIVE เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด รวมข้อดีของเกียร์อัตโนมัติทุกระบบเข้าไว้ด้วยกัน มีชุดเมคคาทรอนิกส์ โมดุล ควบคุมด้วยอิเลคทรอนิกส์ ประสิทธิภาพแม่นยำ เปลี่ยนเกียร์ราบรื่นและตอบสนองได้รวดเร็ว ให้อัตราเร่งที่ต่อเนื่อง และประหยักน้ำมัน

CX-3_34
– SKTACTIV – CHASSIS ช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวลดน้ำหนักของแชสซีลง ทำให้มีความคล่องตัวเพิ่มขึ้น เกาะถนนและควบคุมรถดียิ่งขึ้น พร้อมระบบบังคับเลี้ยวใหม่ที่ควบคุมได้อย่างแม่นยำ ว่องไวกว่าระบบไฮโดรลิคทั่วไป จึงเป็นหนึ่งในระบบช่วงล่างที่สมบูรณ์แบบและปลอดภัยที่สุดในปัจจุบัน

Screenshot_17
– DRIVE SELECTION สามารถเลือกขับขี่ในโหมด Sport ได้เมื่อต้องการเร่งแซงหรือให้อัตราเร่งที่เพิ่มขึ้นในรอบเครื่องยนต์ที่สูง ให้ความรู้สึกสนุกเหมือนขับเกียร์ธรรมดา *เฉพาะเครื่องยนต์เบนซิล

Screenshot_18
– i-STOP (ldling Stop System) ระบบที่สั่งให้เครื่องยนต์หยุดการทำงานชั่วคราวเมื่อรถจอดนิ่ง ขณะที่อุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถยังคงทำงานตามปกติ ทำให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเครื่องยนต์จะทำงานอัตโนมัติทันทีเมื่อรถพร้อมออกตัว

Screenshot_19
ระบบความปลอดภัย ALL NEW MAZDA CX-3 2015
– i-ACTIVSENSE มาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก สัญชาตญาณความปลอดภัยใหม่ของมาสด้า ที่เปี่ยมด้วยวิทยาการล้ำหน้าด้านความปลอดภัยเชิงป้องกันและลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุบนถนน มาสด้าได้พัฒนาและยกระดับความปลอดภัยของ Freestyle Crossover ไปอีกขั้น โดยเติมสัญชาตญาณป้องกันตนเองให้แก่รถ และลดความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ มาสด้า CX-3 ใหม่สามารถคาดการณ์และส่งสัญญาณเตือนผู้ขับขี่ให้เพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น

Screenshot_20
– HBC (High Beam Control) ระบบปรับไฟหน้าสูงอัตโนมัติเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ยามค่ำคืน โดยระบบช่วยปรับการทำงานของไฟสูงให้เหมาะสมกับระยะห่างระหว่างรถคันหน้าโดยอัตโนมัติ เพื่มเพิ่มทัศนวิสัยในการขับและสามารถลดโอกาศไม่ให้การทำงานของไฟสูงรบกวนรถคันอื่น แต่หากขับรถในบริเวณที่มีแสงสว่างจากไฟถนนมากพอ ไฟหน้าจะถูกปรับให้เป็นไฟต่ำอัตโนมัติ

CX-3_24
– LDWS (Lane Departure Warning System) ระบบจะส่งสัญญาณเตือนเมื่อรถอาจเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง

CX-3_23
– SCBS (Smart City Brake Support) ระบบช่วยเบรกอัจฉริยะ ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุจากการชนปะทะด้านหน้าเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ

CX-3_22
– ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring) ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ช่วยให้ผู้ขับปลอดภัยขณะเปลี่ยนเลน

CX-3_25
– RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบจะส่งสัญญาณเตือนขณะขับรถถอยหลังหากตรวจพบความเสี่ยง ระบบจพส่งเสียงเตือนในทันที

Screenshot_21
– โครงสร้างตัวถัง พร้อมถุงลมและม่านถุงลมนิรภัย

Screenshot_22

Screenshot_23
– ระบบ ESS (Emergency Signal System) สัญญาณไฟกะพริบเมื่อเบรกรถในภาวะฉุกเฉิน เพื่อส่งสัญญาณเตือนรถคันหลัง
-ABS 4 ล้อ พร้อม EBD ช่วยกระจายแรงเบรก
-ถุงลมนิรภัยคู่หน้า Dual Airbag
-DSC: Dynamic Stability Control ช่วยควบคุมเสถียรภาพและทรงตัวของรถ
-HLA: Hill Launch Assist ช่วยการออกตัวของรถขณะอยู่บนทางลาดชัน
-TCS: Traction Control System ช่วยป้องันรถลื่นไถล

CX-3_21
– กล้องมองหลังพร้อมเส้นกะระยะขณะถอยหลัง

Screenshot_24
– ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว DSC (Dynamic Stability Control)

Screenshot_25
– ระบบเข็มขัดนิรภัย ELR (Emergency Lovking Retractor) แบบดึงรั้งกลับอัตโนมัติทั้งตำเหน่งเบาะนั่งคู่หน้า 3 จุด 2 ตำแหน่ง และเบาะนั่งหลัง 3 จุด 3 ตำแหน่ง

Screenshot_26
– Headrest ได้รับการออกแบบให้ทั้งองศาและตำแหน่งเหมาะสมที่สุด เพื่อลดโอกาสการบาดเจ็บ เมื่อมีการกระแทกจากด้านหน้ารถ

Screenshot_27
– เบาะนั่งด้านหลัง ออกแบบให้มีองศาที่รองรับน้ำหนักของคนนั่งได้อย่างเหมาะสมซึ่งป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารพุ่งออกจากเบาะนั่งไปทางด้านหน้า โดยเฉพาะเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า

Screenshot_28
– กันชนหน้าและกระโปรงหน้า ถูกออกแบบให้มีโครงสร้างเพื่อช่วยลดอาการบาดเจ็บของผู้ถูกชนเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

COLORS สี ALL NEW MAZDA CX-3 2015

Mazda CX-3 มีให้เลือก 7 สี ได้แก่ 1.สีแดง โซลเรด 2.สีน้ำเงิน ไดนามิกบลู 3.สีน้ำตาล ไททาเนียม แฟลช 4.สีขาว เซรามิก ไวท์ 5.สีขาว สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล 6.สีเทา เมทิเออ เกรย์ ไมก้า 7.สีดำ เจ็ท แบล็ก

Screenshot_7

ALL NEW MAZDA CX-3 2015 สีแดง โซลเรด

Screenshot_6

ALL NEW MAZDA CX-3 2015 สีน้ำเงิน ไดนามิกบลู

Screenshot_1

ALL NEW MAZDA CX-3 2015 สีน้ำตาล ไททาเนียม แฟลช

Screenshot_2

ALL NEW MAZDA CX-3 2015 สีขาว เซรามิก ไวท์

Screenshot_3

ALL NEW MAZDA CX-3 2015 สีขาว สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล

Screenshot_4

ALL NEW MAZDA CX-3 2015 สีเทา เมทิเออ เกรย์ ไมก้า

Screenshot_5

ALL NEW MAZDA CX-3 2015 สีดำ เจ็ท แบล็ก

ใหม่ All New MG5 2015-2016 ราคา เอ็มจี 5 ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์

$
0
0

ใหม่ All New MG5 2015-2016 ราคา เอ็มจี 5 ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์

MG5

12 3 4 5 6 6-1 7 8 9 10 11 11-1 12
ALL NEW MG5 อีกขั้นแห่งการดีไซน์ที่เหนือขีดจำกัด
ก้าวข้ามทุกความท้าทาย สะท้อนนิยามใหม่แห่งการขับขี่ที่แตกต่าง ภายใต้แนวคิด BRIT DYNAMIC ที่โดดเด่นทั้งในด้านการออกแบบ (DESIGN) สมรรถนะ (PERFORMANCE) การควบคุม (HANDLING) และความปลอดภัย (SAFETY) เหนือกว่าด้วย COUPE DESIGN โดดเด่นด้วยกระโปรงหน้าแบบ V-SHAPE ผสานกันอย่างลงตัวกับเส้นสายที่โค้งมน เปิดมุมมองใหม่ด้วยหลังคา SUNROOF ที่สามารถเลื่อนเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า เพิ่มทัศนวิสัยให้ดียิ่งขึ้นด้วยไฟหน้าแบบ PROJECTOR พร้อมไฟ DAYTIME RUNNING LIGHTS แบบ LED โฉบเฉี่ยวไร้ขีดจำกัด ด้วยไฟท้ายดีไซน์ใหม่เอกลักษณ์เฉพาะตัวของ NEW MG5 พร้อมสะกดทุกสายตาบนท้องถนน

NEW MG5 2015 ราคา
NEW MG5 1.5L รุ่น D ราคา 649,000.
NEW MG5 1.5L รุ่น X Sunroof ราคา 699,000.
NEW MG5 TURBO 1.5L รุ่น D ราคา 719,000.
NEW MG5 TURBO 1.5L รุ่น X Sunroof ราคา 759,000.

ราคาพิเศษช่วงแนะนำ พร้อมฟรีประกันชั้น 1 วันนี้-31 ธันวาคม 2558
NEW MG5 1.5L รุ่น D ราคา 649,000 > 629,000 บาท
NEW MG5 1.5L รุ่น X Sunroof ราคา 699,000 > 679,000 บาท
NEW MG5 TURBO 1.5L รุ่น D ราคา 719,000 > 699,000 บาท
NEW MG5 TURBO 1.5L รุ่น X Sunroof ราคา 759,000 > 739,000 บาท

ราคา เอ็มจี 5 ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์
MG5 ราคา, ตารางผ่อน

1

อุปกรณ์มาตรฐาน NEW MG5 2015

NEW MG5 2015 ความยาว x ความกว้าง x ความสูง = (4,612 x 1,804 x 1,544)

NEW MG5 1.5L รุ่น D ราคา 649,000.
ภายนอก
– ไฟหน้า โปรเจคเตอร์ฮาโลเจน
– ไฟตัดหมอกคู่หน้า
– ไฟตัดหมอกหลัง
– ไฟเบรกดวงที่สาม
– กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ปรับและพับไฟฟ้า
– ระบบปรับน้ำฝน แบบตั้งหน่วงเวลาได้
– ฝาครอบล้อ 15 นิ้ว ยาง 195/65 R15

ภายใน
– สีภายใน สีดำ
– วัสดุหุ้มเบาะ ผ้า
– เบาะนั่งคนขับ ปรับ 4 ทิศทาง
– เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า
– เบาะนั่งด้านหลังพับได้
– พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำ
– พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น พร้อมสวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียง
– หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ (Multi-Function Display)
– กุญแจรีโมท ล็อค-ปลดล็อคประตู และเปิดฝากระโปรงท้าย
– กระจกไฟฟ้า พร้อมระบบ One Touch Up / Down ด้านคนขับ
– ระบบปรับอากาศ
– แผงบังแดดด้านหน้าพร้อมกระจกส่องหน้า และไฟส่องสว่าง
– ไฟส่องสว่างห้องสัมภาระ

ระบบเครื่องเสียง
– หน้าจอสัมผัส 7 นิ้ว AM / FM / MP3
– ระบบนำทาง Navigation
– ระบบ inkaNet
– ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ
– จำนวนลำโพง 4 ตัว
– ช่องต่อ AUX และ USB

ระบบความปลอดภัย
– ระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame)
– ระบบป้องกันล้อล็อค ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD
– ระบบเสริมแรงเบรก EBA (Electronic Brake Assist)
– ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
– ระบบป้องกันการลื่นไถลเมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน MSR (Motor Control Slide Retainer)
– ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
– ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
– ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
– ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง ITPMS (Indirect Tire Pressure Monitor System)
– เข็มขัดนิรภัยแบบดึงรั้งกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติคู่หน้า
– ถุงลมนิรภัย คู่หน้า
– สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
– กล้องมองหลัง
– ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer

NEW MG5 1.5L รุ่น X Sunroof ราคา 699,000.
ภายนอก
– ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights)
– หลังคาซันรูฟแบบปรับไฟฟ้า
– ล้ออัลลอยด์ 16 นิ้ว ยาง 205/55 R16

ภายใน
– สีภายใน สีดำ หรือ สีเบจ
– วัสดุหุ้มเบาะ เบาะหนังแท้ และหนังสังเคราะห์
– เบาะนั่งคนขับ ปรับ 6 ทิศทาง
– ระบบปรับดันหลังด้านคนขับ (Lumbar Support)
– พวงมาลัยหุ้มหนัง
– พนักวางแขนผู้โดยสารด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว
– ที่เก็บของใต้เบาะคนนั่ง

ระบบเครื่องเสียง
– จำนวนลำโพง 6 ตัว

NEW MG5 TURBO 1.5L รุ่น D ราคา 719,000.
ภายนอก
– ปลายท่อไอเสียแบบสปอร์ต
– คิ้วโครเมียมฝากระโปรงท้าย

ภายใน
– สีภายใน สีดำ
– วัสดุหุ้มเบาะ ผ้า
– เบาะนั่งคนขับ ปรับ 4 ทิศทาง

ระบบเครื่องเสียง
– จำนวนลำโพง 4 ตัว

NEW MG5 TURBO 1.5L รุ่น X Sunroof ราคา 759,000.
ภายนอก
– ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights)
– หลังคาซันรูฟแบบปรับไฟฟ้า

ภายใน
– สีภายใน สีดำ หรือสีเบจ
– วัสดุหุ้มเบาะ เบาะหนังแท้ และหนังสังเคราะห์
– เบาะนั่งคนขับ ปรับได้ 6 ทิศทาง
– ระบบปรับดันหลังด้านคนขับ (Lumber Support)
– พวงมาลัยหุ้มหนัง
– พนักวางแขนผู้โดยสารด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว
– ที่เก็บของใต้เบาะคนนั่ง

ระบบเครื่องเสียง
– จำนวนลำโพง 6 ตัว

4

ภายนอก NEW MG5 2015

2
– หลังคา SUNRUUF

3
– ไฟท้ายโฉบเฉี่ยวดีไซน์สปอร์ต

Daytime Running Lights
– DAYTIME RUNNING LIGHTS


– ไฟหน้าแบบ PROJECTOR

ภายใน NEW MG5 2015

6
– อีกขั้นแห่งสุนทรียภาพ ผสานความสปอร์ต อย่างลงตัว
รองรับทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบาย พร้อมลิ้นชักเก็บของใต้เบาะหน้าข้างคนขับ เบาะหลังสามารถปรับพับได้ เพิ่มพื้นที่บรรจุสัมภาระได้มากยิ่งขึ้น ลงตัวทุกการควบคุมกับแผงคอนโซลหน้าดีไซน์สปอร์ต พร้อมหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ (MULTI-FUNCTION DISPLAY) สะดวกยิ่งขึ้นด้วยระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบนำทาง NAVIGATION แสดงภาพจากกล่องมองหลัง เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ เพิ่มความพิเศษให้คุณในทุกการเดินทาง

Interior2
15
– เบาะผ้าสีดำ

16
– เบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์สีดำ

17
– เบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์สีเบจ

7
– หน้าปัดเรือนไมล์ดีไซน์สปอร์ต

8
– จอทัชสกรีน 7 นิ้ว พร้อมระบบนำทาง

9
– เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด *เฉพาะรุ่น TURBO 1.5L

10
– ลิ้นชักเก็บของใต้เบาะ

เครื่องยนต์ NEW MG5 2015


14
– อีกขั้นของสมรรถนะท้าทายทุกพลังการขับเคลื่อน
เร้าใจด้วยเครื่องยนต์ทั้งแบบ TURBO 1.5 ลิตร 129 แรงม้า และเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 106 แรงม้ารองรับน้ำมัน E85 ตอบสนองทุกการขับขี่อย่างนุ่มนวล ด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด สำหรับเครื่องยนต์ TURBO และแบบ 4 สปีด สำหรับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นโหมด SPORT และโหมด MANUAL พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ให้คุณพร้อมทะยานสู่ทุกจุดหมาย

Engine
– เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 106 แรงม้า

13
– เครื่องยนต์ TURBO 1.5 ลิตร 129 แรงม้า

ระบบความปลอดภัย NEW MG5 2015


– อีกขั้นของระบบความปลอดภัย มาตรฐานยุโรป
มั่นใจทุกการขับขี่ด้วยช่วงล่างแบบ EUROPEAN TUNING SUSPENSION ด้านหน้าแบบ ULTRA-RIGID MACPHERSON STRUT ด้านหลังแบบ H-TYPE TORSION BEAM คานขวางแบบ U-SHAPE ให้การยึดเกาะถนน และการทรงตัวที่ดีเยี่ยม มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบ LDC (LOW DRAGGING CALIPERS) ตอบสนองทุกการสั่งการ อย่างเฉียบคม

Screenshot_1
– 9 INTEGRATED ACTIVE SAFETY SYSTEMS
– ABS ANTI-LOCK BRAKING SYSTEM ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน EBD ELECTRONIC BRAKE FORCE DISTRIBUTION ระบบช่วยกระจายแรงเบรก
– EBA ELECTRONIC BRAKE ASSIST ระบบเสริม แรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์
– SCS STABILITY CONTROL SYSTEM ระบบควบคุมการทรงตัว
– MSR MOTOR CONTROL SLIDE RETAINER ระบบป้องกันการไถลเมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน
– CBC CURVE BRAKE CONTROL ระบบควบคุม การเบรกขณะเข้าโค้ง
– TCS TRACTION CONTROL SYSTEM ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล
– HAS HILL START ASSIST SYSTEM ระบบช่วยการออกตัว บนทางลาดชัน
– ITPMS INDIRECT TIRE PRESSURE MONITOR SYSTEM ระบบตรวจสอบความผิด ปกติของลมยาง

Screenshot_2
– โครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF (Full Space Frame) ที่แข็งแกร่ง ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้า

25
– ควบคุมได้…ทุกที่ทุกเวลา “อินคาเน็ต” ไม่ได้เป็นแค่แอพพลิเคชัน แต่เป็นระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ให้คุณเชื่อมต่อ สื่อสาร และสั่งการรถยนต์เอ็มจี ผ่านสมาร์ทโฟน ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส

– ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับ inkaNet ได้ที่ www.mgcars.com/th/ innovation/inkaNet

26
– inkaNet คือ ระบบอัจฉริยะที่ใช้สื่อสารระหว่างรถยนต์เอ็มจีกับผู้ขับขี่ โดยเชื่อมต่อกันผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สาย ที่ให้ความสะดวกในการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับรถ การจราจร เส้นทาง ระบบนำทางที่สามารถกำหนดเพิ่มเติมสถานที่ที่สนใจ ของผู้ขับขี่ได้ด้วยตัวเอง

27
– VEHICLE ALARM การเตือนความผิดปกติ ของรถยนต์ เพิ่มความปลอดภัยให้แก่รถคุณ ระบบจะแจ้งเตือนความผิดปกติ ผ่านทาง PUSH NOTIFICATION บนแอพพลิเคชันในสมาร์ทโฟน เพื่อแจ้งเตือนให้ผู้ใช้ได้ทราบเมื่อ
• รถมีการเคลื่อนที่ผิดปกติ
• รถมีการสตาร์ทเครื่องยนต์

28
– NAVIGATION ระบบการนำทางรถยนต์ ให้ข้อมูลระบบนำทางผ่านทาง GOOGLE MAP และช่วยให้ผู้ใช้ สามารถติดตามตำแหน่งของรถได้
• แนะนำและสามารถปักหมุด สถานที่ที่น่าสนใจได้ (POINT OF INTEREST)
• ให้ข้อมูลสภาพการจราจรแบบเรยีลไทม์ เพื่อใช้วางแผนการเดินทาง
• ในกรณีรถถูกโจรกรรมสามารถ ค้นหาตำแหน่งรถ โดยขอความช่วยเหลือ ผ่าน MG CALL CENTRE ในการช่วยติดตาม และแจ้งตำแหน่งของรถ

29
– ELECTRONIC FENCE ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยกำหนดขอบเขตรัศมี การขับรถยนต์
• ควบคุมรถได้แบบเรียลไทม์ โดยกำหนดขอบเขตของรถ ไม่ให้ขับไกลเกินกว่าที่กำหนดไว้ ตั้งแต่ 500 ม. ถึง 10 กม. จากจุดศูนย์กลาง
• ในกรณีรถออกนอกเส้นทาง ระบบแจ้งเตือนผ่าน PUSH NOTIFICATION และ SMS เพื่อให้ความปลอดภัย ของรถยนต์อยู่ในมือคุณในทุกที่

30
FUEL CONSUMPTION แจ้งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน แสดงอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ในการขับรถ
• แจ้งพฤติกรรมการขับขี่ พร้อมแสดงผลอัตราสิ้นเปลือง น้ำมันในการขับรถ โดยเปรียบเทียบ เป็นค่าเฉลี่ย ทั้งแบบรายสัปดาห์ และแบบรายเดือน
• เปรียบเทียบอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ของรถเอ็มจีของคุณกับรถเอ็มจี ของคนอื่น เพื่อช่วยให้คุณ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การขับรถและประหยัดน้ำมัน มากยิ่งขึ้น

31
– TRAVEL PLAN วางแผนการเดินทาง อำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่
• คุณสามารถส่งแผนการเดินทาง จากคอมพิวเตอร์ไปยังจอ TOUCH SCREEN ของรถคุณ จึงมั่นใจได้ว่าคุณจะไม่พลาด ทุกการเดินทาง

Screenshot_3
– i-Call ระบบเลขาฯ ส่วนตัว ติดต่อ MG CALL CENTRE เพียงปลายนิ้วสัมผัส
• อำนวยความสะดวกให้คุณ ในการติดต่อ MG CALL CENTRE เพื่อสอบถามข้อมูล และขอรับคำ แนะนำการช่วยเหลือเบื้องต้นต่างๆ
• MG CALL CENTRE สามารถอํานวยความสะดวกให้คุณ โดยการส่งเส้นทางการเดินทาง (POINT OF INTEREST) มายังจอ TOUCH SCREEN โดยที่คุณไม่ต้อง ค้นหาเองให้เสียเวลา

COLORS สี NEW MG5 2015

นิว เอ็มจี5 2015 มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ 1.สีขาว  2.สีเงิน  3.สีดำ  4.สีแดง  5.สีเทา

22
NEW MG5 สีขาว

21
NEW MG5 สีเงิน

20
NEW MG5 สีดำ

19
NEW MG5 สีแดง

18
NEW MG5 สีเทา

รีวิว MG3 Hatchback X น่ารัก ขับสนุก หัวใจสะอาดด้วย E85

$
0
0

รีวิว MG3 Hatchback X น่ารัก ขับสนุก หัวใจสะอาดด้วย E85

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_74

MG Sales Thailand ได้แนะนำ MG3 ใหม่ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่งาน Motor Expo 2014 ด้วยการเปิดตัวพร้อมกัน 2 รูปโฉม Hatchback และ Xross ก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในช่วงเดือน มีค. ที่ผ่านมานี้ โดย MG3 ถือเป็นรถยนต์ B-Car (Sub-Compact) ที่จะเข้ามาทำตลาดด้วยระดับราคาที่น่าสนใจ พร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่ดี ร่วมกับรูปลักษณ์ที่น่ารักโดนใจ วัยรุ่น โดยมีทั้งหมด 4 รุ่น 4 ราคา ได้แก่ C ราคา 479,000 บาท, D 509,000 บาท, X Sunroof 559,000 บาท และ Xross X 595,000 บาท

ซึ่งวันนี้ทาง 9carthai ของเราจะขอมานำเสนอรีวิว MG3 Hatchback X Sunroof ตัวท๊อปกันครับ

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_02

ภายนอก ของ MG3 เน้นความกระทัดรัด แถมด้วยดีไซน์สุดเก๋ แต่ยังคงความทันสมัยอยู่ด้วย ไฟหน้าโคมดำที่มีเส้นสายโฉบเฉี่ยว ไฟ DRL แบบ LED ได้ติดตั้งอยู่ทางด้านล่างของกันชน ทางด้านท้ายรูปทรงแปลกตา ด้วยไฟท้ายเรียงยาวลงตามแนวเสา C ทั้ง 2 ฝั่ง ท่อไอเสียทรงเหลี่ยมออกทางด้านซ้าย ที่ดูปลายท่อมีขนาดเล็กไปนิด แต่ถ้ามองโดยรวม จะพบว่ามุมมองทางด้านท้ายรถ ดูโดดเด่นสะดุดตา  ขณะที่ล้ออัลลอยขอบ 15” ลวดลายแบบ 4 ก้านคู๋ ถูกสวมยางไซส์ 185/65/R15 จาก Maxxis MA-P1

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_67

MG3 Hatchback มีสีให้เลือก มากถึง 6 สี โดนใจวัยมันส์ ขณะที่คันทดสอบนี้เป็นรุ่น X Sunroof นี้ใช้สีแบบทูโทน เหลือง หลังคาดำ (Tudor Yellow – Black Top) มาพร้อม Sunroof ปรับด้วยไฟฟ้า นอกเหนือกจากนี้ ยังมีระบบปัดน้ำฝนออโต้ และไฟหน้าเปิด-ปิดออโต้ อีกด้วย

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_01

ด้านมิติตัวถัง MG3 Hatcback มี ความยาวxกว้างxสูง = 4,018 x 1,728 x 1,517 มม. มีระยะฐานล้อ 2,520 มม. และน้ำหนักตัวที่ 1.22 ตัน

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_27

ภายใน MG3 ตกแต่งเบาะนั่งด้วยวัสดุหนังแท้ปนหนังสังเคราะห์สีดำ ที่ดูเรียบง่าย พวงมาลัยหุ้มหนังเดินด้ายแดง มาพร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียง ที่ส่งกำลังขับผ่านลำโพง 6 ตำแหน่ง ผ่านเครื่องเล่นเพลง ที่รองรับ CD, MP3 โดยมีช่องเสียบ USB และ AUX in ภายในช่องเก็บของเหนือคอนโซลด้านบน

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_34

แผงแดชบอร์ดของ MG3 อาจดูโบราณไปนิด แสดงผลด้วยไฟสีแดง บอกอัตราสิ้นเปลือง, ระยะทางคงเหลือ, Odometer

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_22

การจัดวางปุ่มต่างๆ ในการใช้งานอาจต้องปรับตัว เรียนรู้กับปุ่มที่มีอยู่สักระยะ เริ่มตั้งแต่ ปุ่มปลดล๊อกประตู จะอยู่ในตำแหน่งเดียวกับระบบปรับอากาศ   สวิทช์ไฟฉุกเฉินกลับไปอยู่ที่ตำแหน่งด้านข้างเบรกมือ ซึ่งอาจจะใช้งานได้ไม่ทันท่วงที โดยมีปุ่มปิด TCS อยู่ติดกัน

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_50

ภายในห้องโดยสารของ MG3 ยังใช้เทคโนโลยี NVH (Noise, Vibration and Harshness) ในการออกแบบ ซึ่งจะขจัดเสียงรบกวน และลดการสั่นสะเทือน ภายในห้องโดยสาร ซึ่งเราพบว่า MG3 นี้ให้ความเงียบ ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_23

พวงมาลัยหุ้มหนังเดินด้ายสีแดง รูปทรง แบบ 3 ก้าน ปลายตัน พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงทางด้านซ้าย ขณะที่ทางด้านขวาเหมือนจะรองรับปุ่มสวิทช์ฟังก์ชั่นได้เพิ่มเติม ด้วยตัวพวงมาลัยที่มีขนาดใหญ่อวบอิ่มฝ่ามือ และมีพื้นที่รองรับนิ้วหัวแม่มือ จึงทำให้พวงมาลัยที่ดูเรียบง่ายวงนี้ จับได้กระชับมือไม้ดีขึ้น  พื้นที่ห้องโดยสารตอนหน้าก็ไม่เล็กมากนัก มีพื้นที่เหยียดขาได้ด้วยระยะ 1,062 มม. แต่น่าเสียดายตรงที่ไม่มีที่เท้าแขนมาให้ จึงอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าได้ เมื่อเดินทางไกล

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_87

พื้นที่ห้องโดยสารทางด้านท้าย มีพื้นที่อยู่ในระดับรถ Sub-Compact ทั่วๆไป นั่งโดยสารที่เบาะหลัง 3 คน หากตัวไม่ใหญ่มากก็จะพอนั่งได้ไม่อึดอัด แต่ถ้าผู้โดยสารตัวใหญ่ อาจจะมีไหล่ชนกัน สำหรับพื้นที่ Legroom นั้น ก็อยู่ในระดับไม่มากไม่น้อยไป อยู่ที่ 875 มม. ยังพอมี Space ในการวางหัวเข่าไม่ให้ติดกับเบาะนั่งด้านหน้าได้บ้าง  ขณะที่ Headroom ตอนหลังพบว่าอยู่ที่ 972 มม. จากรูปทรงรถแบบท้ายเหลี่ยมตัด ทำให้มีพื้นที่เหนือศรีษะ อยู่พอสมควร มากกว่ารถที่มีรูปทรงท้ายแบบเอียงลาด

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_31

เบาะหลังพับได้แบบ 60:40 ช่วยให้การเก็บวางของที่มีขนาดยาวสามารถทำได้ในรถ Hatchback ท้ายสั้นคันนี้  พร้อมด้วยถาดวางของที่ห้องสัมภาระท้าย และยังมีกล่องเก็บแว่นให้ที่ควรจะเป็นตำแหน่งมือโหนประตูฝั่งคนขับ

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_12

เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ระบบวาล์วแปรผันคู่ VTi-TECH  พิกัดเต็ม 1,500 ซีซี กำลังสูงสุด 106 แรงม้า@6,000rpm  มีแรงบิดสูงสุด 135 Nm@4,500rpm รองรับน้ำมัน E85 โดยมีความจุถังน้ำมันที่ 45 ลิตร

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_80

ในด้านของการขับขี่นั้น ถือได้ว่า MG3 มีสมรรถนะของเครื่องยนต์ใกล้เคียงกับรถ B-Car ที่ใช้เครื่องพิกัด 1.5 ลิตร คันอื่นๆ การขับขี่ด้วยความเร็วในระดับ 150 กม./ชม. เมื่อเดินทางไกล ในพื้นที่โล่ง ยังไม่ถือว่ายากเย็นสำหรับ MG3 Hatchback คันนี้ ขณะที่อัตราเร่งโดยรวมถ้าไม่เครียดเค้นจนเกินไป ก็ถือว่าเป็นรถที่มีอัตราเร่งอยู่ในเกณฑ์ปกติ  เนื่องจากรถแบกน้ำหนักตัวถึง 1.22 ตัน เทียบเท่าน้ำหนักตัวรถ C-Car เลย

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_70

มีจุดสังเกตุหนึ่งที่เราพบ เมื่อคุณขับขี่โดยใช้รอบเครื่องต่ำมาโดยตลอด แล้วหากกด Kick Down โดยทันที เครื่องยนต์อาจจะตอบสนองต่อแป้นคันเร่งช้าไปเสียหน่อย และเมื่อเร่งเครื่องถึงราว 6,000rpm คุณอาจจะได้กลิ่นไหม้ ซึ่งมีกลิ่นคล้ายน้ำยาทำผม เข้ามาในห้องโดยสารทางด้านหน้าเล็กน้อย ซึ่งอาการนี้ผู้ทดสอบ เคยพบในรุ่น MG6 โฉมก่อน Minor Changed มาแล้วด้วย แต่เมื่อขับด้วยโหมด S แล้วใช้รอบเครื่องที่สูงในการเร่งแซง อย่างต่อเนื่องจะไม่ได้กลิ่นดังกล่าวที่ว่า

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_84

ขณะที่อัตราสิ้นเปลืองเราพบว่า สามารถทำได้ที่ระดับ 14 กม./ลิตร เมื่อขับออกทางไกล โดยใช้ความเร็วเฉลี่ยที่ระดับ 100 กม./ชม.

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_18

เกียร์ Selemetic (AMT) 5 Speed ซึ่งเป็นการทำงานในรูปแบบเกียร์ธรรมดา (Automatic Manual Transmission) แต่ต้องเหยียบคลัช เนื่องจากเป็นคลัชไฟฟ้า  เราจึงเห็นตำแหน่งเกียร์ของรถคันนี้ดูแปลกๆ ไม่เหมอืน AT ทั่วไป ที่มีตำแหน่ง P R N D

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_17

ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจ เมื่อในจังหวะเปลี่ยนเกียร์ เราจะพบอาการ ดึงกลับ เหมือน Engine Brake ในชั่วขณะนึง คือ “วืด”ชั่วขณะ เหมือน จังหวะเราเหยียบคลัชเพื่อโยกเข้าเกียร์ จริงๆ  ok จริงที่ในบางจังหวะที่จะเร่งแซง อาจต้องเผื่อระยะก่อนจะ Kick Down ทุกครั้งเนื่องจากการตอบสนองมันจะไม่ว่องไวเหมือนอย่าง AT ทั่วไปแน่ๆ

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_76

แล้วข้อดีของมันล่ะทาง MG ได้บอกว่า การที่ระบบส่งกำลังเป็นในลักษณะเดียวกับเกียร์ธรรมดา จะช่วยให้การส่งกำลังถูกถ่ายทอดได้อย่างเต็มพละกำลัง สูญเสียกำลังน้อย ในการเปลี่ยนเกียร์ จึงเหมาะกับเครื่องยนต์บล๊อกเล็กอย่าง MG3 ที่ใช้เครื่องพิกัดเพียง 1.5 ลิตรเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีปุ่ม Mode ไว้ให้กด เพื่อปรับเป็นโหมดการขับแบบ Sport อีกด้วย

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_28

ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัยพาวเวอร์ไฮดรอลิก ที่มีรัศมีวงเลี้ยว 5.6 ม.  มันอาจจะดูมีน้ำหนักมากไปหน่อยในช่วงออกรถเคลื่อนตัว นั่นจึงอาจทำให้การขับขี่ในเมือง และการสาวจอดรถ ไม่คล่องตัวนัก แต่เมื่อความเร็วถึงระดับหนึ่ง ก็มีความหนืด หนักหน่วงมือพอเหมาะ ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ แต่การขับขี่ย่านความเร็วสูงอาจพบว่าพวงมาลัยที่มีระยะฟรี ค่อนข้างมากนี้ อาจมีอาการไวไปหน่อย ซึ่งอาจต้องประคองพวงมาลัยให้มั่นคง นอกจากนี้การขับขี่ผ่านเส้นทางที่ไม่ราบเรียบนัก ก็ควรประคองพวงมาลัยที่อาจดิ้นตามสภาพผิวถนนด้วยเช่นเดียวกัน

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_85

ระบบกันสะเทือน  MG3 ยังคงใช้ช่วงล่างหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม H-Type

ซึ่งเซ็ทระบบช่วงล่างนี้ ยังคง Concept ของ Brit Dynamic ได้เป็นอย่างดี  ช่วงล่างแน่นปึ้ก  เข้าโค้งหนักๆ ยังไม่พบอาการหน้าดื้อนัก ช่วงล่างด้านหลังแบบ H-Type ให้ความยืดหยุ่นทางด้านท้ายได้ดีกว่ารถคานแข็งรุ่นอื่นๆในไซส์เดียวกัน

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_61

แต่มีจุดสังเกตุหนึ่ง หากเราเข้าด้วยความเร็วสูงเกินไป อาการจะถูกส่งออกมาที่บริเวณตัวยาง เริ่มส่งเสียงกรีดร้อง ว่าอาจเกินขีดความสามารถของตัวรถแล้ว

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_62

ระบบเบรก ถือเป็นอีกจุดที่เป็น Key Hilight ของสมรรถนะ Brit Dynamic MG3 ด้วยระบบเบรกดิสก์ 2 ล้อหน้า และ ดรัมเบรก ที่ 2 ล้อคู่หลัง ที่ให้ความนุ่มนวลในการชะลอ ความเร็ว และมันสามารถหยุดพละกำลังเครื่องยนต์เท่าที่มี ได้อย่างรวดเร็ว ให้ความมั่นใจได้ดีเยี่ยม

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_52

มาตรฐานปลอดภัยมีให้ครบครัน MG3 ในทุกรุ่นย่อย จะมาพร้อมระบบต่างๆ ได้แก่ ระบบช่วยเบรก ABS, EBD, BA, CBC-Curve Brake Control (ระบบควบคุมเบรกขณะเข้าโค้ง)

ระบบ ESC (ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว), TCS (ระบบป้องกันล้อลื่นไถล), HSA (ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน), MSR-Motor Control Slide Retainer (ป้องกันการลื่นไถลเมื่อเปลี่ยนเกียร์ลง), แอร์แบ็กคู่หน้า, กุญแจ Immobilizer ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือได้ว่า MG3 ได้ให้มาแบบจัดเต็มไม่แพ้รถยนต์ D-Segment เลยด้วยซ้ำไป

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_82

สรุป รถยนต์ MG3 Hatchback รถไซส์เล็ก ในพิกัด B-Car ที่มีรูปลักษณ์โดนใจ น่ารักสดใส และสีสันที่สะดุดตา แถมเป็นรถที่มาพร้อม Sunroof ไฟฟ้า ที่มีราคาจำหน่ายถูกที่สุดในบ้านเรา
แม้ภายในห้องโดยสาร อาจจะดูแปลกไปสักเล็กน้อยในหลายจุด  แต่ถ้ามองข้ามไปที่ สมรรถนะ MG3 โดดเด่นที่ช่วงล่าง ช่วยให้ขับสนุกตามคอนเซ็ปต์ Brit Dynamic เครื่องยนต์ ทำหน้าที่ได้ดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าใช้ระบบเกียร์ Torque Converter (AT ทั่วไป)

ขณะที่ราคาของ MG3 Hatchback ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี มันแพงกว่ารถยนต์ Eco Car ในพิกัด 1.2 ลิตร เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเริ่มต้นที่ 4.79 – 5.59 แสนบาท เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอ พิเศษ สำหรับผู้ออกรถ MG3 ในวันนี้ จะได้รับข้อเสนอเดียวกับ Motor Expo 2015

  • แถมชุดสติกเกอร์ติดหลังคา
  • ฟรี กล้องมองหลัง และชุด DVD Navigator
  • แถมประกันภัยชั้น 1 ปีแรก

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_75
จุดเด่น

  • รูปลักษณ์ที่โดดเด่น สะดุดตา และการใช้สีแบบทูโทน รวมไปถึงไฟหน้า เปิด-ปิดออโต้ และระบบปัดน้ำฝนออโต้
  • ช่วงล่าง Brit Dynamic แน่นเฟิร์ม เกาะถนน ไว้ใจได้ และระบบเบรกที่ทำหน้าที่ในการชะลอรถได้อย่างมั่นคง

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_14
ข้อสังเกตุ

การวางตำแหน่งเกียร์ ที่แตกต่างจากรถ AT ทั่วไป ซึ่งใครไม่คุ้นชินกับเกียร์แบบนี้ต้องระมัดระวังในการเข้าเกียร์

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_42
จุดที่อยากให้ปรับปรุง

  • น่าจะปรับใช้เกียร์ 6AT เช่นเดียวกันกับ MG5 ซึ่งจะให้การตอบสนองที่ดีกว่าไม่ขาดตอน และใช้รอบเครื่องยนต์ที่ต่ำกว่าบนช่วงความเร็วสูง
  • ปุ่มสวิทช์ไฟฉุกเฉิน น่าจะย้ายจากด้านใต้แผงเกียร์ ขึ้นมาอยู่บริเวณแผงคอนโซลกลาง เพื่อสามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที
  • ในรุ่นท๊อปคันนี้ น่าจะให้กระจกมองข้างพับด้วยไฟฟ้า และพวงมาลัย น่าปรับได้ 4 ระดับ (เพิ่มระยะยืด-หด)

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_54
ขอขอบคุณ MG Sales ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบ MG3 Hatchback X ราคา 5.59 แสนบาท
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver 9carthai

ดูรายละเอียดตารางผ่อน MG3 เพิ่มเติมได้ตามลิงค์ด้านล่างครับ

ใหม่ All New MG3 2015-2016 ราคา เอ็มจี 3 ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์

review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_02 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_65 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_66 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_67 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_01 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_06 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_08 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_04 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_05 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_07 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_09 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_10 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_70 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_72 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_71 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_73 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_74 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_76 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_77 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_75 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_78 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_80 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_81 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_82 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_84 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_83 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_79 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_86 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_85 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_51 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_52 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_54 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_53 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_58 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_55 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_56 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_57 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_03 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_59 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_62 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_63 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_64 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_61 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_60 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_11 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_12 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_13 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_14 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_15 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_16 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_17 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_18 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_19 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_20 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_21 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_22 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_23 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_24 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_25 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_26 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_27 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_28 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_29 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_30 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_31 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_32 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_33 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_34 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_35 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_36 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_37 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_38 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_39 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_40 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_41 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_42 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_43 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_44 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_45 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_46 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_47 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_48 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_49 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_50 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_68 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_69 review-MG3-Hatchback-X-Sunroof_87
Viewing all 534 articles
Browse latest View live